เรื่องนี้ส่งเข้ามาจากคุณนนท์ครับ คุณนนท์เล่าว่า.. ย้อนกลับไปสมัยที่ผมยังเรียนอยู่ ม.ปลาย ส่วนตัวผมจะเป็นคนที่หัวไหล่ไม่แข็งแรงมาตั้งแต่เกิด ทำให้ต้องเข้าโรงพยาบาลบ่อยๆ และครั้งหนึ่งผมต้องนอนค้างโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรปราการ เพื่อรอเข้ารับการผ่าตัด ห้องที่ผมจะได้พักเป็นห้องเดี่ยวขนาดใหญ่ที่เพิ่งจะว่างพอดี พี่สาวผมจึงรีบจองห้องนั้นต่อเลย.. เย็นวันนั้นพอไปถึง ผมก็เปลี่ยนเป็นชุดคนไข้ของโรงพยาบาล และเข้าไปอยู่ในห้องที่จองไว้เพื่อรอผ่าตัดหัวไหล่ช่วงตี 2 ตอนไปถึงเพิ่งจะเกือบๆ ทุ่มเท่านั้นเอง ผมกับพี่สาวก็กำลังนั่งดูทีวีในห้องอยู่ แต่อยู่ๆ พี่สาวผมก็เหลือบไปเห็นแฟ้มประวัติการใช้ห้องที่พยาบาลวางไว้ ซึ่งไม่แน่ใจว่าลืมไว้หรืออย่างไร? พี่สาวผมหยิบมาเปิดดูราวกับมันเป็นหนังสือทั่วไป ส่วนผมก็นอนดูทีวีต่อ และจู่ๆ พี่ผมก็สะกิดผม และชี้ให้ผมดูหน้าหนึ่งในแฟ้มเล่มนั้น ซึ่งลงวันที่ของเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้วเอาไว้ แล้วพี่ผมก็เริ่มชวนผมคุยเรื่องของผมเมื่อตอนผมเกิดใหม่ๆ รวมถึงเรื่องตอนที่หัวไหล่มีปัญหาครั้งแรก ผมก็สนุกไปกับการฟังเรื่องของตัวเองในอดีตมาก เพราะมันเป็นอะไรที่คิดถึง และพี่ผมเป็นคนเล่าเรื่องเก่ง

พวกเราคุยกันจนเวลาล่วงเลยมาถึง 3 ทุ่มโดยประมาณ พี่สาวผมก็ขอลงไปหาอะไรกินข้างล่าง ผมก็ฝากซื้อน้ำผลไม้นิดๆ หน่อยๆ พอพี่ผมออกไปพ้นประตูห้อง ผมก็เริ่มรู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างครับ บางสิ่งบางอย่างที่ตอนอยู่กัน 2 คนไม่รู้สึก นั่นก็คือเงาดำๆ ลางๆ ที่มักจะโผล่มาให้เห็นเวลาผ้าม่านตรงระเบียงถูกแสงไฟรถจากข้างนอกสาดเข้ามา แม้จะรู้สึกแปลกๆ แต่ผมก็ไม่ได้อะไรมาก เนื่องจากกำลังสนุกกับรายการทีวีมากกว่า จนผ่านไปได้ 20 นาที ผมเริ่มรู้สึกแล้วว่าเงานั้นมันไม่ปกติแน่ๆ เพราะมันเริ่มย้ายตำแหน่งมาใกล้ผมเรื่อยๆ ผมจำได้ว่าครั้งก่อนที่ผมหันไปทางระเบียง เงานั้นมันอยู่ตรงสุดระเบียงเลย แต่ตอนนี้มันใกล้กับกระจกที่ระเบียงผมมากเหลือเกิน ตอนนั้นผมเริ่มไม่รับรู้แล้วว่าในทีวีมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง พยายามหันไปมองสิ่งๆ นั้นตลอดทุกๆ ครั้งที่มีแสงเข้ามา ผมจะรีบเพ่งว่ามันคืออะไร แต่สิ่งที่เห็น ก็มีแต่ระยะห่างระหว่างมันกับผม ที่ใกล้กันเข้ามาเรื่อยๆ ผมรีบคว้าโทรศัพท์มา และโทรหาพี่ของผมเพื่อจะถามว่าถึงไหนแล้ว แต่พี่ก็ไม่ได้รับสายผม ผมพยายามโทรใหม่อีก 2 ครั้ง แต่ก็เป็นเหมือนเดิม ผมจึงตัดสินใจลุกออกจากเตียง และเดินไปหาน้ำกินในตู้เย็นที่อยู่บริเวณทางเข้าห้อง เยื้องๆ กับห้องน้ำ แต่ช่วงจังหวะที่ผมก้มตัวไปเปิดตู้เย็นซึ่งเตี้ยกว่าตัวผม สายตาของผมก็เหลือบไปเห็นอีกครั้ง เงาดำที่เคยอยู่ใกล้ๆ กระจกระเบียงห้องผม ตอนนี้มันมีส่วนหนึ่งเข้ามาอยู่ในห้องผมแล้ว!

ตอนนั้นผมไม่คิดแล้วว่ามันคืออะไร คิดแค่ว่าต้องการเจอพี่สาวของผมให้ได้ ผมรีบเดินออกนอกห้องไปหาเคาน์เตอร์พยาบาลที่อยู่บริเวณหน้าลิฟต์ ซึ่งโชคดีมากที่ยังมีพยาบาลอยู่คนหนึ่ง ผมวิ่งเข้าไปแบบหน้าตาตื่นมาก และเล่าเรื่องทุกอย่างให้เขาฟัง พยาบาลฟังเรื่องจบ เขาก็ไปเรียกพยาบาลอีกคนมา แล้วก็เล่าเรื่องที่ผมเพิ่งเล่านี้ให้พยาบาลอีกคนฟัง พอเขาฟังจบ เขาบอกผมมาว่า ‘เมื่อกี้นี้ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งมาเล่าเรื่องนี้ให้พี่ฟังเหมือนกัน แต่เธอลงไปข้างล่างแล้วล่ะ..’ ผมนึกในใจ ผู้หญิงที่ว่านั่นจะเป็นพี่สาวผมหรือเปล่า? ถ้าใช่ ทำไมพี่ถึงไม่บอกอะไรผมเลย? ..ผมกลับเข้าไปในห้องพร้อมกับพยาบาลอีก 2 คนที่ผมคุยด้วย ทันทีที่เปิดเข้าไป ผมรู้สึกได้ว่าห้องมันอึดอัดขึ้นมากๆ พยาบาลทั้ง 2 คนก็บอกเหมือนกันว่า ‘กลิ่นเหม็นมาก เหม็นเหมือนตอนที่ยังเป็นห้องผ่าตัดเลย..’ คำพูดนี้หลุดออกมาจากพยาบาลคนหนึ่ง ทำให้ผมต้องหันไปมอง ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่พี่สาวผมกลับมาพอดี พี่กลับมาพร้อมกับน้ำ 1 ขวด และของกินเต็มมือ นางพยาบาลก็บอกว่า ‘คนนี้แหละ คือคนที่เล่าเรื่องนี้ก่อน’ แต่พี่ผมไม่พูดอะไร นอกจากยิ้มให้ และพาผมกลับเข้าไปที่เตียง พี่นั่งข้างๆ ผมบนเตียง แล้วก็กอดผมเพื่อปลอบ พร้อมกับเล่าเรื่องที่เจอให้ฟัง พี่ผมเล่าว่า ‘เมื่อกี้ที่พี่ออกไป เพราะพี่เห็นเหมือนกับที่เราเห็นนั่นแหละ เขายืนอยู่ข้างๆ เตียงเราเลย พี่ไม่อยากให้เราหันไปมองทางนั้น พี่ก็เลยชี้ให้เรามองที่แฟ้มประวัติ แล้วหาเรื่องให้มาคุยกับพี่แทน.. แล้วตอนที่พี่ตัดสินใจลงไปข้างล่าง เพราะพี่เห็นว่าเขาไม่อยู่แล้ว..’ ทันทีที่ผมฟังจบ ผมถึงกลับไม่กล้านอนต่อเลย เพราะสิ่งที่พี่ผมต้องการจะบอกคือ ในห้องๆ นี้ มีใครอีกคนอยู่ด้วยมาตลอด! ตอนนั้นผมกลัวมาก ผมบอกพี่ว่าขอกลับเลยได้มั้ย? ผ่าตัดขอเลื่อนเป็นตอนเช้าแทน แต่พอผมหันกลับมามองเวลา ก็เป็นเวลาตี 1 แล้ว ซึ่งอีก 1 ชั่วโมงการผ่าตัดก็จะเริ่ม ผมจึงตัดสินใจอยู่ต่อ แต่พอยิ่งใกล้ตี 2 ความรู้สึกมันก็ยิ่งแรงขึ้นเรื่อยๆ ผมไม่เห็นอะไรทั้งนั้นนะ แต่พี่ผมนี่สิ พี่ทำหน้าเหมือนเห็นอะไรที่ไม่อยากเห็นอยู่ตลอดเวลา เล็บพี่ผมจิกบนเตียงจนเตียงแทบขาด

พอเวลาตี 1 ปลายๆ ชุดหมอ และพยาบาลที่จะทำการผ่าตัดผม ก็เข้ามาพร้อมกับเตียงแบบเข็นได้ ผมขึ้นไปนอนบนเตียงแบบกล้าๆ กลัวๆ แต่ก็ยังดีกว่าที่จะต้องนอนอยู่ในห้องนั้นต่อ พี่ผมก็เดินจับขอบเตียงมาด้วยกัน พอผมเข้าห้องผ่าตัด ขณะที่หันหน้ากลับไปมองพี่ผมที่ยืนอยู่ข้างนอกห้อง และโบกมือให้ ผมก็ได้เห็นเจ้าของเงาดำ ซึ่งยืนอยู่ถัดไปจากพี่ผมครับ! เขาดูเป็นผู้หญิงที่มีร่างกายผอมบาง และมีรอยแผลผ่าตัดเต็มตัว ไม่มีเลือด ไม่ได้ดูน่ากลัวเหมือนที่เคยดูในหนัง แต่ภาพที่เห็นนั้นทำให้ผมรู้สึกเหมือนถูกแช่แข็งยังไงยังงั้นเลย.. การผ่าตัดดำเนินไปด้วยดี และผมก็ผ่าตัดเสร็จในเวลา 3 ชั่วโมงต่อมา ผมกลับไปนอนพักฟื้นที่ห้องเดิมอีกครั้ง ตอนนั้นก็เป็นเวลา 6 โมงเช้าแล้ว พยาบาลที่ผมเคยคุยด้วยตอนกลางดึกเดินเข้ามา และเปิดม่านออกทำให้แสงแดดยามเช้าส่องเข้ามาในห้อง เขาหันมายิ้มให้ผมแล้วก็ถามถึงเรื่องการผ่าตัด และบทสนทนาก็กลับไปยังเรื่องเดิมอีกครั้ง โดยที่ผมตัดสินใจถามไปว่า ‘เมื่อคืนที่พวกพี่บอกว่าเหม็นเหมือนห้องผ่าตัดเลย คืออะไรเหรอครับ?’ พยาบาลไม่รอช้าที่จะตอบ เขาหยิบแฟ้มประวัติการใช้ห้อง เล่มเดียวกับที่พี่ผมหยิบเมื่อวานมาให้ดู พร้อมกับชี้ไปที่หัวกระดาษ ซึ่งเขียนว่า ‘ห้องผ่าตัด’ ตามด้วยเลขห้องที่เป็นห้องที่ผมนอนพักอยู่นี้ เขาเล่าต่อว่า ‘แต่เดิมโรงพยาบาลนี้ จะแบ่งห้องผ่าตัดเป็น 2 ห้องใหญ่ คือห้องที่น้องผ่าตัดเมื่อคืน กับห้องนี้ แต่เมื่อเดือนก่อน เราเลือกที่จะปิดห้องนี้ เพราะแพทย์ที่ทำการผ่าตัดเกิดความผิดพลาด ทำให้ผู้บาดเจ็บเสียชีวิต และทางครอบครัวของผู้เสียชีวิตไม่พอใจเป็นอย่างมาก แพทย์คนนั้นรับผิดชอบด้วยการลาออก หลังจากนั้น ห้องนี้ก็มักจะมีเหตุให้อุปกรณ์ชำรุดบ่อยๆ โดยไม่มีสาเหตุ และที่สำคัญ ห้องนี้อยู่ห่างจากห้องผ่าตัดอื่นๆ มากเกินไป ดังนั้นมันจึงถูกปิด และปรับปรุงใหม่กลายเป็นห้องพักเดี่ยวขนาดใหญ่นี่แหละ..’

ผมถามไปอีกคำถามหนึ่งว่า ‘คนที่บอกว่าเสียชีวิตเนี่ย เขาเป็นใครเหรอครับ’ พยาบาลก็ตอบกลับมาอย่างไม่ต้องคิดว่า ‘เป็นผู้หญิงอายุราว 22 ปี ที่ถูกรถชนน่ะ ทีแรกก็วินิจฉัยว่าไม่สาหัสมาก แต่จริงๆ กลับมีจุดอันตรายที่เศษกระดูกไปทิ่มอยู่หลายจุดมาก ต้องผ่าเอาออก สุดท้ายเธอก็ทนเพราะพิษบาดแผลไม่ไหว..’ พอได้ยินอย่างนั้น ผมคิดว่าเมื่อคืนที่ผมเห็น ต้องเป็นเธอแน่ๆ ผมจึงได้แต่ขอให้เธอไปสู่สุขติ.. เย็นวันนั้น ผมก็เริ่มเก็บของภายในห้อง ก่อนจะกลับไปรักษาตัวที่บ้านต่อ ผมไม่ลืมที่จะหยิบแฟ้มประวัติการใช้ห้องที่วางอยู่ข้างๆ เตียง เพื่อจะนำไปคืนที่เคาน์เตอร์พยาบาล แล้วผมก็เหลือบไปเห็นอะไรแปลกๆ เข้าในหน้าหนึ่งของแฟ้มครับ พอผมออกจากห้องไป ซึ่งพอดีกับที่พวกพยาบาลเข็นเตียงที่เต็มไปด้วยเลือด กับร่างของพยาบาลคนหนึ่ง ที่พอผมมองดีๆ ก็คือคนที่คุยกับผมเมื่อเช้านี้เอง ในตอนนั้นเขามีสภาพเละไปทั้งตัว พวกพยาบาลที่เข็นเตียงมา ต่างคุยกันอย่างร้อนรน พอจับใจความได้ว่า ‘อยู่ๆ ก็โดนรถพยาบาลชนเข้าอย่างจังเลย..’ ผมเองก็รู้สึกประหลาดใจ ที่ทำไมเขาถึงบังเอิญมาโดนรถชนได้จังหวะขนาดนั้น ทั้งที่ตอนเช้าเขาก็เพิ่งเล่าถึงกรณีที่ผู้หญิงถูกรถชนไป.. ผมมองตามเตียงที่พยาบาลคนนั้นถูกเข็นไป ซึ่งเข็นผ่านหน้าห้องที่ผมพักไปด้วย แล้วผมก็เห็นเธอคนนั้นอีกครั้ง ผู้หญิงที่อยู่ในชุดคนไข้ ที่มีแผลผ่าตัดเต็มตัว พร้อมทั้งขาที่หักงอไปข้างหนึ่งด้วย คราวนี้เห็นชัดเจนเลยครับ! ผมขนลุกไปหมด ไม่รู้ว่านั่นเป็นเพราะฤทธิ์ยาชาที่หลงเหลืออยู่จนสมองผมเบลอหรือเปล่า? แต่ที่ผมรู้แน่ๆ คือ ผมจะไม่เข้าพักห้องนี้อีกเด็ดขาด

พอทำธุระทุกอย่างเสร็จแล้ว ผมก็รีบไปขึ้นรถพี่สาวผมที่จอดรออยู่หน้าโรงพยาบาลทันที ขึ้นรถมาพี่ผมก็บอกให้ไหว้เจ้าที่ด้วย ผมก็ไหว้ครับ พอเสร็จ ผมรีบบอกพี่ผมเรื่องพยาบาลที่ถูกรถชนทันที และสิ่งที่น่าแปลกคือ ในแฟ้มประวัติการใช้ห้องพักที่ผมหยิบไปคืนก่อนออกมานั่น มีชื่อของพยาบาลคนดังกล่าวถูกเขียนจองไว้ถัดจากผม!

Story by คุณนนท์

ความคิดเห็น