เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องจากคุณเลิฟครับ คุณเลิฟเล่าว่า.. เรื่องนี้เป็นเรื่องจากคำบอกเล่าของญาติผมเอง จริงเท็จประการใดผมก็ไม่ทราบได้ แต่เรื่องราวมันน่าสนใจดี เลยขอนำมาเล่าต่อให้ฟังกัน โปรดใช้วิจารณญาณด้วยครับ มาเริ่มกันเลย.. สมัยก่อนยายทวดผมแกเป็นคนมีตังค์ บ้านช่องใหญ่โต มีที่นาหลายร้อยไร่ไว้ทำนาปลูกข้าวกัน แล้วทวดมีลูก 5 คน ทิดเขียวเป็นคนสุดท้องรองจากยายของผม ด้วยความที่ทิดเขียวเป็นลูกชายคนเดียว ทวดเลยตามใจอย่างหนัก ตั้งแต่เด็กไม่เคยต้องทำงาน ทำนาก็ทำไม่เป็น โรงเรียนก็ไม่ไป เรียนแค่ ป.4 ก็ออกมาคบเพื่อนฝูงทำตัวเป็นนักเลงตั้งแต่เด็ก จนโตเป็นหนุ่มทิดเขียวก็ไม่ทำงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ได้แต่แบมือขอตังค์ทวดไปกินเหล้าเมายากับเพื่อนฝูงไปวันๆ จนทวดเอือมระอา..

มีอยู่วันหนึ่ง ทิดเขียวมาขอทวด บอกขอเงินก้อนนึงจะไปซื้อวัวมาเลี้ยง พอมันโตก็จะขาย เห็นคนอื่นทำกันแล้วรวย ก็เลยอยากทำมั่ง ทวดก็ดีใจที่จะเห็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนทำงานทำการเหมือนคนอื่นเสียที ทวดก็ไม่รอช้า เอาเงินจากกำปั่นที่เก็บหอมรอบริบไว้ให้ทิดเขียวไปลงทุน ทิดเขียวเองก็แน่เหมือนกัน ไปซื้อวัวมาได้ 5 ตัว แล้วแกก็เลี้ยงของแก จนมันตกลูก ก็ไปขายต่อ พอมีกำไรแล้วก็ไปซื้อตัวใหม่มาเลี้ยงต่อๆ กันไปจนเริ่มมีกำไรเห็นน้ำเห็นเนื้อ ยายทวดก็พลอยดีใจปลาบปลื้มไปด้วย.. แต่ไม่รู้เวรกรรมอะไร พวกเพื่อนนักเลงของทิดเขียวดันออกมาจากคุก กลับมาคลุกคลีกับแก ซึ่งนิสัยทิดเขียว คำว่าเพื่อนนี่ต้องมาก่อน ทิดเขียวเริ่มกลับไปสำมะเลเทเมา วัวไม่ดู ปล่อยไปตามมีตามเกิด วันๆ เอาแต่กินเหล้าเมายาเหมือนเดิม ทำให้ยายทวดกลับมากลุ้มใจอีกครั้ง จนวันหนึ่งยายทวด มาบอกกับทิดเขียวว่า ‘ถ้าไม่อยากเลี้ยงวัวแล้ว ก็เอามันไปขายๆ ให้หมดเถอะ สงสารมัน ไม่ดูแล นี่ก็โดนรถชนตายไปตัวนึงแล้ว แล้วถ้าขายได้ก็ไม่ต้องเอาเงินมาคืนแม่หรอกนะ แม่ให้ทิด จะเอาไปทำอะไรก็สุดแล้วแต่ แต่แม่ขออย่างเดียว ทิดบวชให้แม่ได้ไหม?’ ทิดเขียวได้ฟังก็ไม่ได้ว่าอะไร บอกทวดแค่ว่าจะเอาวัวไปขายให้คนรู้จักกันที่เพชรบูรณ์ เค้ารับซื้อหมด ว่าแล้วทิดเขียวก็ไถตังค์ทวดอีก เพื่อจ้างรถขนวัวไปขาย

ต่อไปเป็นคำบอกเล่าจากทิดเขียว..

ทิดเขียวเล่าว่า พอขายวัวได้ก็ได้เงินกลับมาก้อนหนึ่ง กำไรนิดหน่อย ก็กะว่าจะเก็บไว้กับตัว จะไปหาซื้อรถกระบะมือสองเก่าๆ สักคันมาไว้วิ่งรถสองแถว แต่ยังไม่ทันไร ไอ้เพื่อนที่มาด้วยกันมันก็ชักชวนทิดเขียวให้อยู่เที่ยวต่อที่เพชรบูรณ์ มันบอกวันนี้ที่วัดมีงานใหญ่ เราอยู่เที่ยวกันสักคืน พรุ่งนี้ค่อยหารถกลับกัน ไหนๆ ก็มาแล้ว เงินทิดเขียวก็มีไม่ใช่น้อย คืนนี้เรามาเมากันให้เต็มคราบเลยดีกว่า ขึ้นชื่อว่ายาดองของเมา มีหรือทิดเขียวจะปฏิเสธ.. ทิดเขียวเล่าว่า คืนนั้น ตัวเขาเองกับเพื่อนก็เมากันอยู่ในงานวัดนั่นล่ะ พอกรึ่มๆ ได้ที่ ไอ้เพื่อนทิดก็พาเข้าบ่อนงานวัด บ่อนไฮ-โล กำถั่ว เล่นจนหมดเนื้อหมดตัวไปตามๆ กัน ด้วยความเมา คำว่าเสียดายก็ไม่ได้นึกถึง เล่นไปเล่นมาจนหลับคาวงไฮ-โลไป ..ทิดกับเพื่อนตื่นมาอีกทีก็ไม่เจอใครแล้ว งานวัดเมื่อคืนที่ครึกครื้นกลับเงียบสงัด ไม่มีร่องรอยของการละเล่นใดๆ มาก่อน 

ทิดเขียวกับเพื่อนตื่นขึ้นมานั่งงงอยู่พักใหญ่ กว่าจะเรียกสติกลับคืนมาได้ แล้วทั้งคู่ก็ออกเดินจากที่ตรงนั้นมา ทิดเขียวเล่าให้เห็นภาพว่า มันมีแต่ดงไม้รกครึ้มไปหมด ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพวกเขาจะเข้ามาได้ พอเดินออกจากดงไม้มาก็เจอแต่วัดร้าง เจดีย์หักๆ อิฐแตกๆ หญ้ารกสูง ไม่เห็นเหมือนเมื่อคืนเลย ที่วัดดูสดใสมีสีสัน ผู้คนเดินไปมาขวักไขว่ แต่นี่หมูหมาสักตัวก็ไม่เห็นมี ทิดเขียวกับเพื่อนพยายามหาทางออกมาจากวัดร้างนั้น แต่จนแล้วจนรอด เดินยังไงก็หาทางออกไม่ได้สักที เหมือนจะเข้ารกเข้าพงไปเรื่อยๆ จนตะวันเริ่มตรงหัวแล้ว ทิดกับเพื่อนก็เริ่มหิวอย่างหนัก ยิ่งหิวยิ่งโมโห หาทางออกจากวัดร้างก็ไม่ได้สักที เหมือนเดินเป็นวงกลม กลับมาเจอเจดีย์หักๆ ที่เดิมตลอด จากโมโหก็กลายเป็นพาล ทิดกับเพื่อนสองคนเริ่มด่าลมด่าฟ้าด่าเทวดา ว่ามาแกล้งแกทำไม ไปทำอะไรให้ ถ้าแน่จริงล่ะก็ มาชกกันตัวต่อตัวให้มันรู้ไปเลย ยิ่งด่าก็ยิ่งเหนื่อยยิ่งหิว หมดหนทาง ทิดกับเพื่อนก็นอนพักร่างอยู่ที่ฐานเจดีย์หัก ให้เงาเจดีย์พอบังแดดได้ แล้วทั้งคู่ก็หลับไปอีกครั้งด้วยความเพลีย..

มารู้สึกตัวอีกครั้ง ก็เริ่มโพล้เพล้แล้ว ความมืดเริ่มเข้าปกคลุม ทิดเขียวไม่รู้จะทำไง พอดีว่าแกเห็นดวงไฟอยู่ไม่ห่างนัก สังเกตดีๆ มันเหมือนคนกำลังถือคบไฟเดินผ่านมาทางนี้ แกสะกิดเพื่อนให้ดูบอกว่า ‘เฮ้ย! นั่นคนหรือเปล่าวะ? เราเดินตามเค้าไป เราอาจจะออกจากที่นี่ได้..’ ว่าแล้วสองเกลอก็ลุกขึ้นเดิมตามแสงไฟนั้นไป พอเดินเข้าไปใกล้ ทิดเขียวเล่าว่า มันเป็นคนนี่ล่ะ ถือไต้ไฟ เหมือนคนสมัยเก่าที่เขาใช้เวลาเดินทางตอนค่ำๆ เป็นผู้ชายแต่งตัวแบบชาวบ้านๆ เสื้อม่อฮ่อม กางเกงขาก๊วยแบบชาวนาทั่วไป มีผ้าโพกหัว แกเดินเข้าไปใกล้ๆ ร้องถาม ‘พี่ชาย จะเดินไปไหน ผมขอตามไปด้วยได้ไหม?’ เงียบ.. ไม่มีเสียงตอบจากชายแปลกหน้าคนนั้น ทิดเขียวถามถึง 3 ครั้ง แต่ชายคนนั้นก็ไม่ได้ตอบ และไม่มีทีท่าว่าจะสนใจทิดเขียวแม้แต่น้อย ทิดเขียวคิดในใจ หยิ่งจังวะ..ถามก็ไม่ตอบ ช่างแม่ง เดินตามไปเรื่อยๆ แล้วกัน เผื่อจะออกจากที่นี่ได้ ทิดเขียวกับเพื่อนจึงเดินตามชายแปลกหน้าไปพักใหญ่ ก็มาถึงหมู่บ้านหนึ่ง..

หมู่บ้านนี้ก็เหมือนหมู่บ้านปกติ มีชายหญิง มีเด็ก อยู่กันแต่ไม่มากนัก บ้านแต่ละหลังก็เป็นแบบสร้างง่ายๆ หลังคามุงจากเหมือนกระท่อมเฝ้านาเสียมากกว่า แต่คนที่นี่แปลกๆ ไม่ค่อยจะคุยกัน ตั้งแต่เข้ามาในหมู่บ้านยังไม่ได้ยินเสียงคนคุยกันเลย แม้กระทั่งเด็กๆ ก็ไม่มีเสียงร้องเสียงเล่นกันให้ได้ยิน ทิดกับเพื่อนเดินมาจนหมดแรง ทั้งหิว และกระหายน้ำ จนมาหยุดที่บ้านหลังหนึ่ง ดูจากบ้านใหญ่โตกว่าหลังอื่นๆ ท่าทางคนในบ้านจะมีตังค์ ทิดเขียวเลยเอ่ยปากถามว่า ‘มีใครอยู่บ้างไหม? ขอน้ำกินสักขันหนึ่ง คอแห้งมากเลย..’ แต่ก็เงียบ ไม่มีใครตอบ ทิดเขียวตะโกนถามถึง 2-3 ครั้ง ก็ไม่มีวี่แววว่าจะมีใครตอบมาจากในบ้านเลย สักพักมีผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาแล้วกวักมือเรียกให้ทิดเขียวกับเพื่อนเดินตามไป ทิดเขียวกับเพื่อนเดินตามไปแบบว่าง่าย แล้วมาหยุดที่ศาลาท่าน้ำแห่งหนึ่ง เป็นศาลาเล็กๆ เก่าคร่ำครึ จะพังมิพังแหล่ ชายคนนั้นทิดเขียวจำได้ว่า เป็นคนคนเดียวกับที่ถือคบไฟเดินพาพวกเค้าเข้ามาในหมู่บ้านนั่นเอง ชายลึกลับคนนั้นชี้มือให้ทิดเขียวนั่งรอที่ศาลา แล้วตัวเขาก็เดินหายไปในความมืด ชั่วอึดใจใหญ่ ชายคนเดิมก็กลับมาพร้อมกับข้าวสำรับหนึ่ง วางไว้ที่ศาลา แล้วชี้ให้ทิดเขียวกินซะ แล้วก็เดินจากไปเช่นเคย ทิดเขียวกับเพื่อนไม่รอช้า รีบกินข้าวสำรับนั้นอย่างโหยหิว ไม่นานทั้งคู่ก็อิ่ม และนอนหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย

เช้าวันรุ่งขึ้น แสงแดดส่องกระทบหน้า ทั้งสองคนตื่นขึ้นมาเดินเข้าไปในหมู่บ้านอีกครั้ง เพื่อจะถามทางกลับบ้าน แต่แปลก คนในหมู่บ้านหายไปไหนกันหมด บ้านแต่ละหลังปิดประตูหน้าต่างเงียบกริบ ‘แปลกว่ะ หมู่บ้านนี้ คนก็แปลกๆ ไม่พูดไม่จา ถามอะไรก็ไม่ตอบ แล้วนี่หายหัวไปไหนกันหมด?’ เพื่อนทิดเขียวบอก ‘กูว่าท่าจะไม่ดีแล้วว่ะ มันแปลกๆ กูว่าเรารีบออกไปดีกว่า..’ ว่าแล้วทั้งคู่ก็รีบหาทางเดินออกจากหมู่บ้าน ออกจากหมู่บ้านมาก็เจอแต่ป่าอีก สองคนไม่รู้เลยว่าที่นี่มันคือที่ไหน? ได้แต่เดินไปสะเปะสะปะไม่รู้ทิศรู้ทาง เดินจนเหนื่อยก็หาทางออกจากป่าไม่ได้เสียที ยิ่งเดินเหมือนมันยิ่งลึกเข้าไปเรื่อยๆ ต้นไม้รกขึ้นใหญ่ขึ้น ‘เราหลงแล้วว่ะทิด..’ เพื่อนทิดเขียวพูดขึ้น ทิดเขียวได้แต่เกาหัวแกร่กๆ ไม่รู้จะทำยังไง จากเที่ยงเป็นบ่าย จากบ่ายเป็นค่ำ ก็หาทางออกจากป่าไม่ได้ จนแล้วจนรอดก็วกกลับมาที่หมู่บ้านเดิมอีกครั้ง

‘อ้าว.. ไหงมาโผล่ที่เดิมวะ’ สองเกลอพูดแทบจะพร้อมกัน ตะวันลับขอบฟ้าไปแล้ว ความมืดเริ่มเข้าปกคลุม ดูเหมือนหมู่บ้านจะกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง มีแสงจากไต้ไฟตามบ้าน เริ่มเห็นคนในหมู่บ้าน ซึ่งมันก็แปลก เช้าหายหัว กลางคืนโผล่ มันชักจะยังไงๆ ทิดเขียวบอกกับเพื่อน แล้วทั้งคู่ก็กลับมานั่งพักที่ศาลาไม้เก่าหลังเดิม ชั่วอึดใจใหญ่ ชายลึกลับคนเมื่อวานก็ถือสำรับกับข้าวมาอีกแล้ว วางไว้แล้วก็เดินจากไปไม่พูดไม่จาเหมือนเดิม ทิดเขียวกับเพื่อนถามอะไรไปก็ไม่มีคำตอบ.. ไม่สนใจอะไรละ กำลังหิว ทิดเขียวกับเพื่อนลงมือเปิบอาหารอย่างกระหายหิว ‘นี่มันกับข้าวเหมือนเมื่อวานเลยนี่หว่า..’ เพื่อนทิดเขียวพูดขึ้น ‘เออ..ใช่ว่ะ กูจำได้ ไข่พะโล้ แกงเทโพ ผัดฟักทอง กล้วยบวชชี สมัยบวชพระตอนหนุ่มๆ แม่กูชอบทำมาให้ประจำ..’ พอทิดพูดถึงตรงนี้ก็ถึงกับผงะในคำพูดตัวเอง กินอะไรไม่ลง.. เพื่อนทิดเขียวรีบถาม ‘อะไรวะทิด เป็นอะไร!?’ ทิดเขียวบอก หรือว่าเราสองคนตายแล้ววะ? มึงลองคิดดู ที่นี่คือที่ไหนก็ไม่รู้ คนก็แปลกๆ ไม่พูดไม่จา แล้วไอ้กับข้าวเนี่ยะ มันเหมือนที่กูกินตอนบวชเลย แม่กูทำมาให้แทบทุกวันเพราะรู้ว่ากูชอบ แล้วมันก็มีมาให้เรากินทุกวันเนี่ยะ.. พูดจบเพื่อนทิดเขียวก็สะดุ้งเหมือนกัน ‘เฮ้ย! ไม่น่าใช่ ทิดเขียวอย่าพูดเป็นเล่นไป’ มื้อนั้น ทั้งสองคนต่างกินไม่ลง ด้วยความคิดฟุ้งซ่านต่างๆ นานา

ก่อนนอนคืนนั้น ทิดเขียวสวดมนต์ทั้งที่เมื่อก่อนนี้แกไม่เคยคิดจะสวดเลย สวดกระท่อนกระแท่น งูๆ ปลาๆ แล้วอฐิษฐานว่า ‘ขอให้ออกไปจากที่นี่ได้ แล้วแกจะบวชไม่สึกเลย..’ แล้วทิดเขียวก็นอนหลับไป.. ฟ้าใกล้สาง ทิดเขียวรู้สึกตัวตื่นเหมือนมีคนมาตีที่แขน แกลืมตาขึ้นมาก็เห็นเป็นชายลึกลับคนนั้นถือคบไฟอยู่ เขาพยักหน้าเป็นความหมายว่าให้ตามเขาไป ทิดเขียวรีบปลุกเพื่อนแล้วเดินลากมือกันไปอย่างกุลีกุจอ ชายลึกลับเดินพาพวกเขาเข้าป่าท้ายหมู่บ้านไป เดินเลี้ยวโน่นเลี้ยวนี่ เข้ารกเข้าพกอยู่นานเป็นชั่วโมง จนแสงของพระอาทิตย์กำลังขึ้นตรงขอบฟ้า ชายคนนั้นก็พาพวกเขาออกมาจากป่า แล้วชี้ให้เดินต่อไป ส่วนชายคนนั้นก็หันหลังกลับเข้าป่าไปอย่างรวดเร็ว ทิดเขียวกับเพื่อนเดินออกจากพงไม้แค่อึดใจ ก็ขึ้นมาถึงถนนได้ เห็นมีรถวิ่งผ่านหน้าไป ทั้งสองคนแทบกระโดดกอดกันด้วยความดีใจ หันหลังกลับไปดูก็ไม่เห็นชายคนนั้นแล้ว แล้วพงไม้ข้างหลังมันก็ดูรกทึบมากจนไม่น่าเชื่อว่า พวกเขาจะเดินผ่านมันออกมาได้ สุดท้ายทั้งสองก็โบกรถกลับไปจนถึงบ้านได้

พอถึงที่บ้าน ยายทวดเห็นทิดเขียวก็ร้องไห้ปล่อยโฮเลย ทั้งยาย และพี่น้องของทิดเขียวทุกคนต่างร้องไห้กันระงม จนทิดเขียวแปลกใจถามไปว่า ‘ร้องไห้กันทำไม?’ ยายเป็นคนแรกที่ตั้งสติได้ ถามไปว่า ‘มึงไปไหนมาไอ้ทิด หายไปซะ 3 เดือน!! พวกกูนึกว่ามึงโดนฆ่าตายไปแล้วตอนเอาวัวไปขาย’ ทิดเขียวถึงกับงง นี่มันอะไรกัน? เวลาที่เอาวัวไปขายแล้วหลงอยู่ในหมู่บ้านประหลาด อย่างมากก็ไม่เกิน 3 วันเท่านั้นล่ะ แล้วมาบอกอะไรหายไป 3 เดือน ท่าจะบ้า!? หลังจากที่อาบน้ำอาบท่ากินข้าวปลาจนอิ่มหนำ ทิดเขียวกับเพื่อนก็เริ่มเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ยายทวด และทุกคนฟัง ทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า 3 เดือนจริงๆ ที่มึงหายหัวไป ไม่เชื่อไปดูปฏิทินที่ยายทวดฉีกไว้ได้เลย ทิดเขียวลุกไปดูมันก็จริง ยายเอาหนังสือพิมพ์มาให้ทิดเขียวดู วันที่ในหนังสือพิมพ์ มันก็เป็นเวลา 3 เดือนพอดีจากที่ทิดเขียวเอาวัวไปขาย ทุกคนงุนงงกันมากกับเหตุการณ์ที่ทิดเขียวกับเพื่อนเจอ หลังจากวันนั้น ทิดเขียวก็บวชตามที่ให้สัญญาไว้จริงๆ บวชไม่สึกจนอายุได้ 84 ปี แกก็จากโลกนี้ไป..

ผมจำได้ดี เวลาหลวงตาเขียวมาเยี่ยมที่บ้าน แกจะชอบเล่าเรื่องนี้ให้ลูกหลานฟังทุกครั้ง มันเหมือนเป็นเรื่องเตือนสติได้อย่างหนึ่ง แกบอกว่า เหตุการณ์ครั้งนั้นอาจจะเป็นเทวดาที่มาสั่งสอนแก ที่แกเกเรกับยายทวดมาก ให้รู้สำนึกก็เป็นได้.. ผมยังจำคำพูดของหลวงตาเขียวได้ดี จนถึงทุกวันนี้ครับ

Story by คุณเลิฟ

ความคิดเห็น