เรื่องนี้ส่งเข้ามาจากคุณเจนครับ คุณเจนเล่าว่า.. ผมเป็นทนายความอยู่ที่จังหวัดยโสธรครับ เรื่องที่จะเล่านี้เกิดขึ้นตอนผมอายุประมาณ 9 ปี ซึ่งก็ผ่านมานานมากแล้วครับ แต่มันยังคงชัดเจนติดตาเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานเลย สมัยนั้นที่บ้านผมมีอาชีพขายส่งโอ่งมังกร และเครื่องปั้นดินเผา แต่บางช่วงของปีที่ขายไม่ค่อยดี พ่อผมก็จะเปลี่ยนไปขายของตามฤดูกาลแทน ซึ่งช่วงนั้นแตงโมกำลังขายดี พ่อผมก็เลยจะไปซื้อมาเร่ขาย และหมู่บ้านที่ขายแตงโมเยอะๆ ก็คือบ้านคำเกิด ที่อยู่ห่างจากหมู่บ้านของผมไปเกือบ 20 กิโลเมตร โดยการเดินทางจะต้องผ่านหมู่บ้านหนองแฝกเสียก่อน ..และเหตุการณ์มันก็เกิดขึ้นบนเส้นทางระหว่างหมู่บ้านของผมกับบ้านหนองแฝกนี่ล่ะครับ

เราเดินทางกันตอนประมาณบ่าย 4 โมง ไปกันทั้งหมด 5 คน มีพ่อ แม่ ผม น้องสาวอายุ 4 ขวบ และลุงอีกคนหนึ่ง ชื่อว่า ลุงเตี้ย ครับ เดินทางไปโดยรถกระบะตอนเดียว โดยที่ผมกับลุงเตี้ยนั่งกระบะหลัง สมัยนั้นทางเส้นนี้เป็นถนนลูกรัง หลุมบ่อเพียบ แถมไม่มีไฟส่องสว่างเลย ความยาวประมาณ 3 กิโลเมตร ทางเส้นนี้จะเชื่อมระหว่างถนนแจ้งสนิท (ทางหลวงหมายเลข 23) กับถนนอรุณประเสริฐ (ทางหลวงหมายเลข 202) ขาไปก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นครับ แต่เราเสียเวลาตระเวนหาแตงโมในราคาที่เหมาะสมอยู่นานมากจนฟ้ามืด ก็เจอแต่แตงโมราคาสูง สุดท้ายพ่อผมก็เลยไม่เอา เพราะมันขายต่อลำบาก เลยพากันกลับบ้าน เราเดินทางกลับตามถนนอรุณประเสริฐ พอมาถึงแยกก็เลี้ยวซ้ายเพื่อเข้าหมู่บ้าน เวลาตอนนั้นประมาณ 3 ทุ่ม มันมืดมากๆ เลยครับ ผมจำได้ว่ามันแปลกๆ คืนนั้นผมมองไม่เห็นดาวเลยสักดวง พอเลี้ยวรถเข้ามา บริเวณสองข้างทางจะเป็นกอไผ่ขนาดสูงใหญ่ขึ้นเรียงราย ด้วยความที่มันสูงมากๆ มันเลยโน้มลงมาหากัน ลักษณะเหมือนซุ้มไม้ไผ่อะไรแบบนั้น และที่สำคัญ ตรงบริเวณนั้นมันเป็นป่าช้าของบ้านหนองแฝกครับ! ได้ยินมาว่า หากมีชาวบ้านตายโหงก็จะเอาศพมาฝังตรงนั้น.. ผมนั่งอยู่กระบะหลังพิงกระจกรถ ส่วนลุงเตี้ยนั่งอยู่ทางด้านซ้ายมือผม ทางเส้นนั้นมืดมากๆ มืดจริงๆ ขนาดผมมองขึ้นไปบนฟ้าก็มืดสนิท ไม่เห็นอะไรเลย..

แต่แล้ว สายตาผมก็มองไปเห็นอะไรแว่บหนึ่งบนแนวต้นไผ่ทางขวามือ สูงขึ้นไปราวๆ 8 เมตรได้ มันเป็นเหมือนสายตาของแมวเวลาสะท้อนแสงตอนกลางคืนครับ แค่คู่เดียว แต่พอผมมองขึ้นไปตามแนวต้นไผ่ทางซ้ายมือ คราวนี้มาพรึ่บ!! มาทีละคู่ๆ จนเต็มป่าไผ่ทั้งสองข้างทางเลยครับ!! ทั้งในระดับสายตา และสูงขึ้นไป ผมเงยหน้ามองไปรอบๆ บนหัวมีแต่แววตาเป็นคู่ๆ นับไม่ถ้วนเลย ความรู้สึกผมมันบอกว่า พวกมันกำลังจ้องมาทางผมกับลุงเตี้ยอยู่ ตอนแรกผมคิดว่าคงเป็นตาของค้างคาว แต่พอลองมองไปบนถนน มันก็มีดวงตาแบบเดียวกันบนถนนเต็มไปหมดเลย ถ้ามันเป็นสัตว์ พวกมันก็ต้องวิ่งหนีไปก่อนรถจะวิ่งทับสิ แต่นี่มันไม่ครับ และที่สำคัญ มันลอยตามพวกผมมา!! มันลอยตามมาแน่นอน เพราะระยะห่างระหว่างผมกับพวกมันไม่ได้ลดลงเลย เหมือนมันมาอยู่ตรงหน้าห่างแค่ไม่กี่เมตร ตอนนั้นผมช็อคพูดอะไรไม่ออกเลยครับ ขนนี่ลุก แต่เหงื่อกลับออกเต็มตัว ผมเอาศอกซ้ายสะกิดลุงเตี้ย และหันไปมองแก เห็นแกกำลังเงยหน้ามองไปบนแนวต้นไผ่พร้อมกับอ้าปากค้าง และแกก็พยักหน้าประมาณว่า ‘กูเห็นแล้ว!’ แต่ไม่ได้พูดหรือหันมามองผมนะครับ แล้วจังหวะที่ผมมองไปหาแกนี่ล่ะครับ ทำให้ผมเห็นอะไรบางอย่างอยู่ทางด้านขวาของตัวรถ แถวๆ ประตูฝั่งคนขับ จากแสงไฟหน้ารถที่มันสาดออกมาด้านข้าง ภาพที่เห็นทำให้ผมเย็นยะเยือกไปทั้งตัวยิ่งกว่าเดิมเสียอีก มันคือมอเตอร์ไซค์รุ่นเก่ามากแบบของผู้หญิง ที่มี 3 เกียร์ครับ พอมองเห็นสีลางๆ น่าจะเป็นสีแดงขาว แต่นั่นไม่สำคัญหรอกครับ เพราะที่สำคัญคือ ผมเห็นคนขี่จากแสงไฟรถยนต์ที่มันสะท้อนให้เห็นเป็นเงาแขนขา เงาตัว แต่..ไม่มีหัว!!! ไม่มีหัวแน่นอนครับ ผมมั่นใจมาก และผมก็ไม่ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ของมอเตอร์ไซค์คันนั้นเลย ไฟหน้าไฟท้ายก็ไม่มีแสง ซึ่งระยะที่ผมมองเห็นมันไม่ได้ไกลเลย มันลอยคู่กันมาอยู่ข้างๆ รถพ่อ ตามกันไปเรื่อยๆ

ลุงเตี้ยก็หันไปมองเหมือนกัน คราวนี้แกตัวสั่นอย่างเห็นได้ชัดเลยครับ แต่ตอนนั้นพวกเราไม่ได้ร้องออกมานะครับ มันอึ้งมากกว่า ผมหันกลับไปดูพวกดวงตาแวววับเหล่านั้น มันก็ยังคงพรึ่บเต็มไปหมด แถมยังลอยตามมาเหมือนเดิม พอหันไปทางซ้ายก็เห็นมอเตอร์ไซค์คันนั้น กับคนขี่ที่ไม่มีหัวอยู่ ผมกับลุงเตี้ยจับมือกันแน่นเลย มันไม่ไหวแล้ว พ่อผมก็ขับรถช้ามาก รถก็โยกเยกกระเด้งขึ้นลงเพราะถนนขรุขระเหลือเกิน ผมเลยเอาศอกขวากระแทกไปที่กระจกหลังรถ แล้วตะโกนบอกพ่อว่า ‘พ่อ ขับเร็วๆ หน่อย!’ แต่พ่อก็ยังขับช้าเหมือนเดิม ผมกระแทกแบบนั้นอยู่หลายครั้ง จนผมกับลุงเตี้ยได้แต่นั่งตัวแข็ง ถูกเขย่าขวัญไปตลอดทางจนถึงหมู่บ้านผมเลยครับ พอดีมันจะมีเสาไฟข้างถนนก่อนถึงตัวหมู่บ้าน ซึ่งเป็นเสาไฟต้นเดียวของแถบนั้น พอถึงตรงนี้ไอ้ดวงตาพวกนั้นหายวับไปกับตาผมเลย ผมหันไปมองทางด้านซ้าย ไอ้รถมอเตอร์ไซค์คันนั้นก็หายไปแล้วเช่นกัน ผมนี่โคตรรู้สึกโล่งเลยครับ..

แต่ยังครับ.. มันยังมีความคลาสสิคที่พอนึกย้อนไปแล้วก็เหมือนในหนังผีเลย คือพอมาถึงบ้าน พ่อจอดรถเสร็จ พวกเราก็ลงจากรถ แม่ก็เดินอุ้มน้องเข้าบ้านไป ผมเลยไปต่อว่าพ่อเสียงดังเลยว่า ‘ทำไมขับรถช้าจัง!?’ พ่อบอกผมว่า ‘ถนนมันไม่ดี น้องหลับอยู่กลัวน้องจะตื่น’ ลุงเตี้ยก็ส่ายหัวแล้วพูดขึ้นว่า ‘โอ้ยพี่ พวกผมถูกผีหลอก!’ พ่อก็บอกว่า ‘ห๊ะ!! แล้วทำไมไม่บอก!?’ ผมก็เลยบอก ‘ไม่บอกอะไร ทุบกระจกจนจะแตกอยู่แล้วเนี่ย’ แต่พ่อผมกลับถามว่า ‘ทุบตอนไหน ไม่เห็นได้ยินอะไรเลย ถ้าทุบขนาดนั้นจริง น้องก็ต้องตื่นแล้วสิ!?’ เล่นเอาผมกับลุงเตี้ยนี่งงไปเลย จะบ้าตาย

หลังจากนั้นไม่กี่ปี บ้านหนองแฝกก็ทำพิธีล้างป่าช้าตรงนั้นครับ ผมเห็นเขาเอาจีวรพระมาฉีกเป็นริ้วๆ แล้วผูกที่ต้นไม้ทุกต้น.. แต่ก็ยังมีครั้งหนึ่งที่ผมเคยขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านตรงนั้นในตอนกลางวัน จู่ๆ มอเตอร์ไซค์ก็ดับเองเฉยเลย สตาร์ทเครื่องยังไงก็ไม่ติด สุดท้ายผมเลยต้องจูงไปจนถึงถนน 202 พอลองสตาร์ทดูอีกที แม่งติดเฉย!? จากนั้นมาผมนี่ไม่ไปอีกแล้ว อ้อมกลับอีกด้านตลอดเลยครับ

Story by คุณเจน

ความคิดเห็น