เรื่องนี้มาจากการรวบรวมข้อมูลความเฮี้ยนของ วัลลี ยากุ จากข่าวต่างๆ รวมถึงคนใกล้ชิดที่เคยพบเจอเหตุการณ์ โดยคุณ Natthaphat Phothisat สมาชิกกลุ่ม TheHOUSE เล่าว่า.. จากเรื่องจริงที่กลายเป็นตำนานความเฮี้ยนของผีตายทั้งกลมในยุค 4G.. วัลลี ยากุ หญิงสาววัย 19 ปี อุ้มท้องแก่ใกล้คลอด ในมือจูงแขนลูกน้อยวัย 3 ขวบไว้แน่น เธอยืนเหม่อลอยอยู่กลางถนน 6 เลนที่รถสัญจรผ่านไปมาอย่างคับคั่ง ซึ่งเป็นเรื่องปกติของถนนสายพระราม 2 (ลงใต้) ตาของเธอแดงก่ำจากน้ำตา เพราะความหวังที่จะได้พบหน้าสามีสุดที่รักนั้นเหลือน้อยเต็มที

‘พี่จ๋า.. นานเท่าไหร่แล้วที่ไม่ได้กลับบ้าน?’

สิ้นเสียงความคิดในหัว ‘โครมมม!!!’ รถยนต์พุ่งชนร่างของเธอที่กำลังข้ามถนนเข้าอย่างจัง กระเด็นลอยไปไกล ซ้ำร้ายถูกรถที่ตามมาทับลากไปอีกหลายร้อยเมตร ผู้คนที่เห็นเหตุการณ์กรีดร้องอย่างโกลาหลเพราะภาพความสยดสยองของศพที่อยู่ต่อหน้านั้นเกินจะรับไหว..

วัลลี ยากุ คือสาวอาภัพ ที่ออกตามหาสามีที่ออกจากบ้านมาหางานทำในเมือง แล้วหายหน้าไป เธอทราบเพียงว่ามาทำงานในระแวกจังหวัดสมุทรสาคร เธอจึงตัดสินใจออกตามหาพร้อมกับหอบลูกน้อยวัย 3 ขวบ กับอีก 1 ในท้อง เพื่อมาขอพบหน้าสามีสุดที่รักที่จากกันมานาน หวังแค่จะได้อยู่กันพร้อมหน้ากันพ่อแม่ลูก ..แต่ใครจะรู้ว่านี้คือการตามหาครั้งสุดท้ายของชีวิตเธอและลูก

วัลลี ยากุ เธอไม่รู้แม้กระทั่งชาติกำเนิดของตัวเอง และไม่รู้ว่าใครคือพ่อแม่ที่แท้จริงของเธอ ว่ากันว่า พ่อแม่ของเธอนั้นคือแรงงานต่างด้าว ที่หลบหนีเข้าประเทศไทยมาอาศัยอยู่ระยะหนึ่ง เป็นสัญชาติพม่า กะเหรี่ยง หรือไทยใหญ่ ก็ไม่มีใครทราบแน่ชัด รู้เพียงว่าเธอนั้นถูกทิ้งไว้ แล้วมีครอบครัวหนึ่งขอเก็บมาเลี้ยงต่อเอาบุญ ชีวิตที่ขาดความอบอุ่นจากครอบครัวในวัยเด็กของเธอ ทำให้เมื่อเติบใหญ่มีครอบครัว เธอจึงรัก และหวงแหนมันมาก เพราะทั้งชีวิตเธอมีเพียงเท่านี้จริงๆ

ศพตายทั้งกลมของเธอ และลูก ถูกทางมูลนิธิหอบไปหลายวัดมาก เนื่องจากเป็นศพไม่มีญาติ และหลายศาลาก็เต็มหมด จนมีวัดสุดท้ายคือวัดกำพร้า ที่อนุเคราะห์รับศพไว้เพื่อบำเพ็ญกุศล และนั่นคือจุดเริ่มต้นของความเฮี้ยน..

ศพของวัลลี และลูก ถูกเก็บไว้ก่อนเพื่อรอญาติที่อาจจะติดต่อมา แต่นั่นดูเหมือนจะช้าไปสำหรับวิญญาณที่ยังมีจิตห่วงหา เธอจึงสิงร่างคนอื่นในระแวกนั้น เพื่อให้ตามแม่เลี้ยงของเธอ

เรื่องเล่าจากทางบ้านที่รวบรวมมาได้..

ริมทาง ว่ากันว่าชาวบ้านแถวนั้น เห็นวิญญาณของเธอกับลูกเดินตามถนนหน้าวัดอยู่เป็นประจำ ซึ่งปกติแถวนั้นจะมีร้านค้ามากมาย แต่ช่วงที่มีข่าวแพร่สะพัดออกไปทั่ว ถึงความเฮี้ยนของวัลลี ทำให้ร้านค้าต่างๆ ต้องปิดร้านกันแต่หัววันเลยทีเดียว

เสียงกล่อมเด็ก ในทุกๆ คืน เสียงแว่วโหยหวนเพลงกล่อมเด็กที่เย็นยะเยือก มากับเสียงลม มันชวนหลอนสั่นประสาทคนระแวกนั้นอย่างที่สุด

โบกรถ มีคืนหนึ่ง วินมอเตอร์ไซค์ดวงซวย ถูกผู้หญิงท้อง และลูกน้อยโบกรถจากหน้าวัดให้ไปส่งที่ท่ารถ แต่พอถึงจุดหมาย สองแม่ลูกนั้นกลับหายไปจากเบาะหลัง ราวกับไม่มีใครนั่งมาแต่แรก ทำเอาวินมอเตอร์ไซค์หลอนจนแทบกลับบ้านไม่ได้

ชิงช้าสวรรค์ ในงานวัดมีชิงช้าสวรรค์มาจัดให้เด็กๆ นั่งเล่นชมวิว ทว่าบนยอดสูงสุด กลับเห็นภาพสองแม่ลูกนั่งในชิงช้า แต่พอวนลงมาครบรอบ คนเปิดประตูกลับไม่เห็นสองแม่ลูกนั้น พวกเขาหายไปไหน? ทำให้ต้องเก็บชิงช้าสวรรค์หนีกลับแทบไม่ทัน

หนวกหู เป็นเรื่องเล่าที่หลอนสุดๆ เพราะมีพยานรับรู้กันร่วมร้อย เนื่องจากในช่วงที่มีงานวัด จะมีการเปิดเสียงเพลงอึกกะทึกครึกโครม และในขณะที่ทุกคนกำลังสนุกสนานกับเครื่องเล่น และดนตรีต่างๆ อยู่ดีๆ มีเสียงหนึ่งแทรกออกมาว่าจากลำโพงในงานว่า ‘ ห น ว ก หู  ลู ก จ ะ น อ น ’ เท่านั้นล่ะ คนในงานต่างก็แยกย้ายเผ่นเดินทางกลับกัน จนงานวัดที่เพิ่งเริ่มต้องหยุดลงทันที

ไม่น่าเชื่อว่าปัจจุบันในยุคที่เราเรียกกันว่า ‘ยุค 4G’ จะยังมีเรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นได้ แต่นั่นก็อาจเป็นเพราะอานุภาพแห่งความรัก และห่วงหา ที่ครั้งหนึ่งในสยามประเทศก็เคยมีตำนานความรัก ความสยองของ ‘แม่นาค แห่งพระโขนง’ ที่เขย่าประสาทกันทั้งพระนครมาแล้ว.. เรื่องนี้ผมรวบรวมเรื่องเล่าจากน้องๆ ที่อาศัยอยู่ในระแวกนั้นมาเผยแพร่ให้อ่านกัน จะจริงเท็จอย่างไร ก็แล้วแต่จะพิจารณานะครับ อ่านเพื่อความเพลิดเพลินก็ได้ แต่อย่างมงาย ส่วนผมเอง รู้สึกเวทนาวิญญาณสองแม่ลูกคู่นี้มาก ภายหลังได้ข่าวว่าความเฮี้ยนนั้นได้ปิดตำนานลงไปแล้ว เพราะสามีนำเธอกลับไปอยู่ในที่ที่เธอควรอยู่แล้ว..

Story by คุณ Natthaphat Phothisat

ความคิดเห็น