เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องจากคุณหาญ ใจสิงห์ครับ คุณหาญเล่าว่า.. เรื่องนี้เกิดขึ้นกับผมตอนที่ผมต้องเดินทางกลับบ้านแฟนคนเดียว เมื่อสัก 8 ปีที่แล้ว ย้อนกลับไป พศ.2552 ผมกับแฟนได้มีโอกาสลางานเพื่อกลับไปหาลูกที่ต่างจังหวัด แต่แม่ยายผมเกิดป่วยกะทันหัน พี่ชายผมเลยพาแฟนผมกลับไปก่อน โดยให้ผมขึ้นรถทัวร์ตามไปทีหลัง หลังจากแฟนผมไปได้ 2 วัน ก็ถึงวันที่ผมจะต้องกลับพอดี วันนั้นเลิกงานบ่าย 3 โมง อาบน้ำ แต่งตัว เตรียมกระเป๋าเสร็จ ไปขึ้นรถที่หมอชิตก็เกือบๆ ทุ่ม เดินไปซื้อตั๋วได้รถเที่ยวสุดท้ายเลย คือ 3 ทุ่ม ตอนขึ้นรถสังเกตได้ว่าคนน้อยมาก คงเพราะไม่ใช่ช่วงเทศกาลด้วยล่ะมั้ง ก็ไม่คิดอะไร พอเด็กรถเอาขนมมาแจกก็ถาม ‘พี่ลงที่ไหนคะ?’ ผมก็บอกชื่อหมู่บ้านแฟนไป น้องรีบยื่นขนมให้แล้วเดินไปเลย ผมก็งง แต่ก็ยิ้มๆ ไปอย่างนั้น และด้วยความที่เหนื่อยจากการทำงาน ไม่นานผมก็หลับไปเลย

ตื่นนอนอีกทีก็ใกล้จะถึงหมู่บ้านแฟนผมแล้ว ด้วยความงัวเงียยังไม่ทันตื่นดี เลยรีบหยิบของเดินจะมาลงรถ คนขับถามว่า ‘จะลงตรงนี้เลยเหรอ?’ ผมพยักหน้าตอบ แล้วรถก็จอดให้ผมลง เวลาตอนนั้นตี 4 เกือบครึ่ง ผมลงรถมา อ้าว! นี่มันซุ้มประตูวัดนี่นา ทางเข้าบ้านแฟนต้องเลยไปอีกหน่อย.. ผมสะพายกระเป๋าแล้วเดินไปต่อ แต่ก็ต้องสะดุดกับอะไรบางอย่างเข้า แสงจันทร์ส่องให้เห็นว่าเป็นอานของรถจักรยาน ผมก้มมองดูและก็กำลังจะเดินไป ปรากฏว่ามีน้องผู้หญิงคนหนึ่ง ใส่เสื้อสีแดง กางเกงยีนส์ฟอกขาสามส่วน ผมยาวถึงกลางหลัง กำลังจูงรถจักรยานผ่านหน้าผมไป ผมก็ดีใจว่ามีเพื่อนแล้ว เลยถามไปว่า (ซาวด์แทร็คนะครับ) ‘ผู้สาวๆ สิไปไสครับ? เข้าในหมู่บ้านบ่ ผมไปนำแน’ น้องผู้หญิงตอบว่า ‘ไปอยู่จ้ะอ้าย’ แล้วก็เดินจูงจักรยานนำหน้าผมไป เดินเข้าไปในซอยบ้านแฟนผม ซึ่งต้องผ่านกำแพงวัดที่สูงท่วมหัว และมีต้นโพธิ์ใหญ่อยู่ด้วย.. ผมก็สงสัยว่าน้องเขาจะจูงจักรยานทำไม ทำไมถึงไม่ขี่ เลยถามไปว่า ‘เป็นหยังคื่อบ่ขี่ล่ะนาง ซุกเอาเฮ็ดหยัง?’ น้องตอบว่า ‘โซ่มันหลุดจ้ะอ้าย! นางใส่บ่เป็น’ ผมเลยหัวเราะแล้วบอกว่า ‘มาๆ ให้อ้ายเบิ่งดู้ เดี๋ยวอ้ายใส่ให้เด้อครับ..’ พูดจบผมก็เดินไปแล้วนั่งลงตรงโซ่รถจักรยาน เอากระเป๋าวางไว้กับพื้น ค่อยๆ ใส่โซ่เข้าที่

ระหว่างที่ผมกำลังใส่โซ่จักรยาน อยู่ๆ ก็มีน้ำหยดลงมาใส่หลังมือของผม สีเข้มๆ ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นน้ำมันของโซ่ ผมเลยถามน้องเขา ‘น้ำมันโซ่คือหยดคักแท่ครับ.. ว่าแต่นางคนบ้านนี่ติ อ้ายคือบ่เคยพ้อหน้าเลย?’ สิ้นคำถามของผม น้องก็ตอบกลับมาว่า ‘อ้ายกะลองเบิ่งหน้าน้องดูติล่ะ คุ้นอยู่บ่จ้ะ?’ พอผมเงยหน้าดูเท่านั้นล่ะ ก้นจ้ำเบ้าเลยครับ! ภาพที่เห็นคือ ใบหน้าที่ขาวเกลี้ยงเหมือนเปลือกไข่ ไม่มีตา ไม่มีปาก ไม่มีจมูก คิดว่าตาฝาดเลยเอามือขยี้ตา พอเอามือออก หน้าที่ว่างเปล่านั้น ก้มลงมาเกือบจะถึงหน้าผม ห่างแค่เพียงนิ้วเดียว! ที่สำคัญ น้ำที่มันหยดใส่มือผม มันคือเลือดสีแดงจากหัวน้องเขา ไหลมาที่คางแล้วหยดลงมา!

‘คุ้นอยู่บ่จ้ะอ้าย? ฮิๆๆ’

น้องทิ้งคำถามสุดท้ายไว้ ก่อนจะขึ้นขี่จักยานไปพร้อมกับเสียงหัวเราะ แล้วปั่นย้อนกลับไปที่ถนนใหญ่.. ผมตาค้างหันตามไปดู พอไปถึงกลางถนนมีรถกระบะคันหนึ่งพุ่งชนจักรยานน้องอย่างจัง กระเด็นไปต่อหน้าต่อตา ผมรวบรวมความกล้ารีบเดินไปจนถึงบ้านแฟน ป้าแฟน กับแฟนผมตื่นพอดี ถามผมว่า ‘ทำไมมาไวจัง นึกว่าจะมา 6 โมงเช้า’ ผมไม่ตอบล่ะครับ ยังช็อคอยู่ ป้าแฟนเห็นผมเงียบเลยถามต่อว่า ‘ไม่ใช่โดนผีหลอกอีกแล้วนะหลานเขยนี่?’ ผมเลยถามว่า ‘ผู้หญิงผมยาวไม่มีหน้า ใส่เสื้อสีแดง จูงรถจักรยานใช่ไหม? ถ้าใช่ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยครับ..’ ป้าแกทำหน้าตกใจก่อนจะเล่าให้ฟังว่า ‘ก่อนผมกลับมาได้ 3 วัน มีผู้หญิงคนหนึ่งขี่จักรยานมาเที่ยวบ้านเพื่อนที่หมู่บ้านเรานี่ล่ะ แล้วตอนกลับบ้าน สักราวๆ ตี 4 ครึ่ง ออกไปได้ครึ่งทางแล้ว ไม่รู้ว่าลืมของอะไร เลยย้อนกลับมาเอา แต่โชคร้ายเจอคนเมาขับรถกระบะชนตายคาที่ แถมรถยังลากเอาศพหน้าถูกับพื้นถนน จนตาจมูกปากหายหมดเลย ลากมาถึงซุ้มประตูวัด แล้วก็ขับหนีไป กว่าคนจะมาเจอศพก็เช้าแล้ว ที่สำคัญ ซากรถจักรยานเก็บไปหมดแล้ว เหลือเพียงแต่อานนั่งเท่านั้นที่ยังหาไม่เจอ.. ส่วนเสื้อที่ใส่น่ะเป็นสีขาวนะ ที่เห็นว่าเป็นสีแดง คงเป็นเลือดมันเลอะเต็มเสื้อนั่นไง.. เดี๋ยวนี้ทุ่มสองทุ่มก็ไม่มีใครกล้าออกจากบ้านแล้ว เพราะเจอกันแทบทุกคน..’ ตอนนั้นในใจผมคิดขึ้นมาเลย อย่าบอกนะ ว่าที่เหยียบเข้าตอนลงจากรถทัวร์ก็คืออานรถจักรยานของน้องเขา เรื่องก็มีเท่านี้ครับ..

Story by คุณหาญ ใจสิงห์

ความคิดเห็น