เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องจากคุณเลิฟครับ คุณเลิฟเล่าว่า.. เช้าวันก่อนผมได้ไปใส่บาตรพระ ซึ่งพระรูปนี้เป็นหลานผมเอง เลยนึกขึ้นมาได้ว่ามีเรื่องราวเกี่ยวกับหลานของผมคนนี้จะมาเล่าให้ฟังครับ เรื่องมีอยู่ว่า สมัยที่ผมกลับมาทำงานที่บ้านช่วงแรกๆ ผมได้รับหลานคนนี้มาอยู่ด้วย เนื่องจากมีนิสัยเกเร ไม่เรียนหนังสือ ทางบ้านเลยให้ออกมาทำงาน มาคอยช่วยผมส่งของยกของ เพื่อที่ผมจะได้อบรมให้อยู่ในกรอบได้บ้าง เพราะนอกจากผม หลานคนนี้ก็ไม่ค่อยจะฟังใครเลย ตอนนั้นหลานผมอายุประมาณ 16 ปี เรียกว่ากำลังวัยรุ่น กำลังห้าวเลย พอมาอยู่กับผม หลานก็ทำตัวดีขึ้น ขยันขันแข็ง ไม่ค่อยเกเร ผมเลยวางใจเปิดโอกาสให้ออกไปเที่ยวกลางคืนบ้างช่วงหลังปิดร้าน แต่พอผ่านไปได้สักระยะ หลานก็เริ่มเกเรอีกแล้ว หันไปคบเพื่อนไม่ดี ไม่ค่อยกลับร้าน เที่ยวเตร่ไปเรื่อย จนมีอยู่วันหนึ่ง หลานกลับมาที่ร้านดึกมาก ดูมีท่าทางลุกลี้ลุกลน รีบขึ้นห้องที่อยู่ชั้นบนของร้านไปทันที เช้าวันรุ่งขึ้น ผมก็ถามว่า ‘เมื่อคืนไปไหนมา? กลับดึกมากเลย’ หลานบอกผมว่า ‘พอดีเพื่อนมีเรื่อง เลยอยู่เคลียร์ เสร็จเรื่องถึงกลับ..’ ผมเลยอบรมไปพักใหญ่ บอกว่าถ้าเป็นแบบนี้ก็ให้เลิกเที่ยวได้แล้ว ซึ่งหลานผมก็ก้มหน้ารับฟัง ไม่เถียงผมสักคำ ผมเลยแปลกใจ ว่านี่จะมาไม้ไหน เพราะปกติไม่ใช่แบบนี้เลย

หลานผมเลิกเที่ยวกลางคืนนับตั้งแต่วันนั้น ทำตัวเรียบร้อย ขยันทำงานมากขึ้น ไม่บ่น ไม่โวยวาย ซึ่งมันผิดปกติ ผมต้องรู้ให้ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น? ผมเฝ้าดูพฤติกรรมไปเรื่อยๆ แต่ก็ยังไม่มีอะไรผิดสังเกต จนมาวันหนึ่งผมเปิดร้าน รออยู่จนสาย หลานก็ยังไม่ลงมาช่วยสักที ผมเลยขึ้นไปดู ไปเคาะห้อง ปรากฏว่าประตูมันไม่ได้ล็อค ผมเลยเปิดเข้าไป เห็นหลานนอนคลุมผ้าอยู่บนเตียง ตัวสั่น ผมเลยเข้าไปนั่งใกล้ๆ แล้วเรียกชื่อหลาน ถามเขาว่า ‘เป็นอะไร ไม่สบายเหรอ ทำไมไม่ลงไปช่วย?’ หลานก็ค่อยๆ เอาผ้าห่มออกจากตัว แล้วบอกผมว่า ‘ไม่สบายนิดหน่อย เดี๋ยวขอไปอาบน้ำก่อนแล้วจะลงไป..’ ผมไม่ได้อะไร ก็เดินลงมาข้างล่างเลย.. หลังจากวันนั้น หลานผมก็เริ่มเปลี่ยนไป ดูท่าทางจะกลัวๆ เหมือนหลอน เวลาผมเรียกชื่อก็จะสะดุ้ง เหมือนจิตใจไม่อยู่กับตัว ไม่มีสมาธิทำงาน ผมสงสัยว่าหลานอาจจะติดยา เล่นยาจนหลอน บางทีผมก็ขอขึ้นไปค้นห้องเลย แต่ก็ไม่เจอยาเสพติดอะไร ผมถามหลานตรงๆ ว่า ‘เล่นยาหรือเปล่า?’ หลานก็ยืนยันว่าไม่ได้เล่น พอผมซักหนักๆ เข้า หลานก็ร้องไห้ และเล่าให้ผมฟังว่า หลานชอบฝันร้าย ฝันติดกันเกือบทุกคืนเรื่องเดิมๆ ว่ามีผู้ชายเลือดเต็มตัว ที่หัวเหลือใบหน้าแค่ครึ่งเดียว อีกครึ่งแหว่งวิ่นไป ชอบมาอำบ้าง มานั่งทับหน้าอกบ้าง จนทำให้หลานหวาดกลัวการนอน นอนไม่หลับติดๆ กันมาหลายคืนแล้ว พอผมได้ฟัง ก็เลยพาหลานไปวัด ไปไหว้พระ รดน้ำมนต์ ให้จิตใจดีขึ้น แล้วก็บอกไปว่า ก่อนนอนก็สวดมนต์ แผ่เมตตาให้เขาไป จะได้ไม่มารบกวนกันอีก หลานก็รับคำที่ผมบอกอย่างดี ..ผ่านไป 1 สัปดาห์ ดูเหมือนหลานจะดีขึ้น สีหน้าแจ่มใส มีสมาธิทำงาน ผมก็คิดว่าคงไม่มีอะไรแล้วล่ะ วัยรุ่นกินมาก ฝันมาก แต่อีกใจผมกลับยังรู้สึกแปลกๆ ชอบกล เหมือนมีลางบอกเหตุว่าจะมีสิ่งไม่ดีเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว แต่ผมก็ทำเป็นลืมๆ แล้วไปทำงานต่อ หลังจากวันนั้นเกือบเดือน ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยครับ

แต่แล้ว สิ่งเลวร้ายที่ผมคิดมันก็เกิดขึ้นจนได้.. เช้าวันนั้น หลานผมไม่ลงมาช่วยงานอีกแล้ว ผมเลยขึ้นไปตาม แต่เปิดห้องเข้าไปก็ไม่เห็นหลาน คิดว่าคงอยู่ในห้องน้ำ ก็เดินไปดู แต่ก็ไม่เห็นอีก ผมชะโงกหน้ามองไปที่ถนน ก็ยังเห็นรถมอเตอร์ไซค์หลานจอดอยู่ ..แล้วหลานผมหายไปไหน? ผมเดินลงมาข้างล่างถามแม่บ้าน กับลูกน้องอีกคน ก็ไม่มีใครเห็นหลานเลย แล้วผมก็นึกขึ้นได้ว่า ถ้าไม่อยู่ที่ห้อง ไม่อยู่ข้างล่าง งั้นก็ต้องอยู่ที่ดาดฟ้า อาจจะแอบขึ้นไปเล่นยา หรืออะไรก็ได้ ถ้าจับได้ว่าเล่นยาจะไม่เอาไว้แน่ๆ ในใจผมตอนนั้นคิดอย่างนั้นครับ.. ผมเดินขึ้นบันไดทีละ 2 ขั้น อึดใจเดียวผมก็มาถึงประตูชั้นดาดฟ้า ด้วยความโมโห ผมผลักประตูอย่างแรง แล้วผมก็เห็นหลานผมจริงๆ หลานนั่งอยู่ที่มุมเสา ในมือถือปืน และที่สำคัญคือกำลังจ่อที่หัวของตัวเอง! ผมตกใจสุดขีด สมองมึนงงสับสนไปหมด ปืน.. หลานมีปืนได้ยังไง? ในบ้านผมไม่เคยมีปืน และที่สำคัญ ผมเคยค้นห้องหลานทุกตารางนิ้วมาก่อนหน้านี้ ก็ไม่เคยเจอปืนเลย และหลานก็ไม่ได้ออกจากบ้านมานานแล้วด้วย แล้วปืนมันมาจากไหนกัน!? แต่ก่อนที่จะหาคำตอบเรื่องนี้ ผมรีบวิ่งไปที่หลาน และง้างขาเตะแขนที่จับปืนจ่อหัวอยู่อย่างแรง จนทั้งคน ทั้งปืน กระเด็นกลิ้งไปคนละทิศละทาง แล้วผมก็เข้าไปพยุงหลาน หลานดูหน้าตาเหมือนคนเพิ่งตื่นนอน ผมตบหน้าหลานไป 2 ทีด้วยความโมโห จนหลานได้สติกลับคืนมา หลานถามผม ‘ตบผมทำไม?’ ผมเลยด่าไปอีกชุดใหญ่ด้วยความโกรธ

หลังจากที่สงบสติกันได้ทั้งคู่ ผมก็จับหลานมานั่งเค้นเอาคำตอบว่า ปืนมาจากไหน? ขึ้นมาทำอะไรที่ดาดฟ้า? คิดจะฆ่าตัวตายเหรอ? มีปัญหาอะไรก็พูดกัน ถ้าวันนี้พูดไม่รู้เรื่อง ก็ไม่ต้องอยู่ด้วยกันแล้ว.. หลานผมเริ่มน้ำตาคลอ แล้วค่อยๆ เล่ามาว่า ‘ปืนนั่นเป็นของเพื่อนผม มันฝากไว้กับผมสักพักแล้ว มันบอกว่าจะมาเอา แต่มันก็ไม่มาเอาสักที หายตัวไปเลย..’ ผมเลยถามต่อว่า ‘แล้วตอนไปค้นห้องทำไมไม่เจอ?’ หลานบอกว่า ‘ซ่อนเอาไว้ที่ผนังห้องที่เป็นไม้อัด แงะไม้ออกมาแล้วซ่อนไว้ในนั้น..’ แล้วผมก็ถามต่อว่า ‘จะฆ่าตัวตายหรือไง ถ้าขึ้นมาไม่ทันคงระเบิดสมองตายเป็นผีคาบ้านไปแล้ว!’ หลานผมรีบปฏิเสธว่า ‘ไม่นะ ผมไม่ได้คิดแบบนั้นเลย เมื่อคืนนอนฝันว่าเพื่อนจะมาเอาปืนคืน ก็เลยลุกไปหยิบให้ แล้วในฝันเพื่อนบอกให้ลองยิงเล่นดู ผมจำได้แค่นั้น แล้วมารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่โดนตบหน้านี่แหละ..’ หลานผมเล่าไปก็ร้องไห้ไปด้วยความกลัว ผมเลยตัดปัญหา ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร ผมต้องจัดการกับปืนเจ้าปัญหานี้ก่อน เลยถามหลานต่อว่า ‘รู้จักบ้านเพื่อนที่เป็นเจ้าของปืนไหม? จะเอาไปคืนเขาให้..’ หลานบอกรู้จักแต่อยู่คนละอำเภอกัน ผมบอกไม่เป็นไร จะพาไปเอง เรื่องจะได้จบๆ วันนี้

ผมกับหลานก็เอาปืนใส่ถุงพลาสติก และใส่กล่องกระดาษอีกชั้น แล้วเอาไปไว้ท้ายรถ ผมขับพาหลานไปบ้านเพื่อนคนนั้นทันที หลานก็ค่อยๆ บอกทางไป ผมก็ขับตามไปเรื่อย ระหว่างทาง ไม่รู้ผมคิดไปเองหรือเปล่า ผมได้กลิ่นคาวเหมือนเลือดอยู่ตลอดเวลาเลย.. ขับมาเป็นชั่วโมง ก็ถึงบ้านเพื่อนคนที่ว่านั่น ผมเดินลงไป ก็เห็นผู้ชายมีอายุหน่อยเดินออกมาถามว่า ‘มาหาใคร?’ ผมเลยบอกว่า ‘มาหาเพื่อนหลาน จะเอาของมาคืนให้’ และผมก็เล่าเรื่องทุกอย่างให้ชายคนนั้นฟัง ชายคนนั้นคือคุณตาของ โทน (นามสมมติ) เพื่อนของหลานผมนั่นเอง ตาแกเล่าว่า แกเลี้ยงโทนมาตั้งแต่เล็กๆ พ่อแม่เขาเลิกกัน โทนเป็นเด็กเกเร ชอบไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด เป็นนักเลงเลยล่ะ คอยวิ่งส่งยาให้พวกเจ้าถิ่น จนไม่นานมานี้ โทนไปมีเรื่องกับกลุ่มวัยรุ่น แล้วก็ไปยิงเขาจนบาดเจ็บ หลังจากนั้นไม่กี่วัน ฝ่ายนั้นก็ตามมาเอาคืน โทนถูกยิงด้วยปืนลูกซองเข้าที่หน้า จนหน้าหายไปแถบนึง ตายอย่างอนาถ.. ตาแกเล่าไปก็ร้องไห้ไป ถึงตรงนี้หลานผมทำหน้าตกใจสุดขีดเลยครับ หลานผมเพิ่งรู้ว่าโทนถูกยิงตาย.. ทีนี้ผมเลยเล่าในส่วนที่หลานผมเจอมาให้ตาแกฟังบ้าง พร้อมกับหยิบปืนที่เอาติดมาส่งมอบให้แกไป ก่อนจะลากลับกัน

ระหว่างทางกลับบ้าน หลานผมยังดูมีท่าทีช็อคอยู่ ผมก็คุยกับหลานว่า ในที่สุดก็รู้แล้วว่าไอ้ผีที่มาอำบ่อยๆ คือโทนเพื่อนที่ถูกตามยิงจนหน้าหายไปแถบนึง แล้วมันคงมีห่วงที่จะต้องกลับมาเอาปืน และอาจจะดลใจหรือยังไงไม่ทราบ ให้หลานผมฆ่าตัวตายเพื่อไปอยู่เป็นเพื่อนมัน หรือเป็นตัวตายตัวแทนมันก็เป็นไปได้.. ผมถามหลานผมว่า ‘จะบวชไหม? จะได้อุทิศส่วนกุศลให้เพื่อนที่ตายไป เขาจะได้ไม่มารบกวนเราอีก..’ ซึ่งหลานผมก็รับปากเป็นอย่างดี.. หลังจากนั้น ผมก็บวชให้หลานอย่างเรียบง่าย หลานบวชได้ 1 พรรษา ก็มาบอกผมว่า ขอบวชต่อไปเรื่อยๆ ไม่อยากสึก เพราะที่ผ่านมาเกเรมามาก ได้บวชแล้วรู้สึกสงบดี ซึ่งผมก็ไม่ขัด และยังยินดีกับหลานมากๆ ด้วย จนถึงวันนี้ เวลาก็ผ่านมาเกือบ 7 ปีแล้ว หลานผมสอบนักธรรม แล้วเรียนสายอาชีพไปด้วยพร้อมๆ กัน ผมก็ยิ่งรู้สึกยินดี และร่วมอนุโมทนาไปด้วยครับ

Story by คุณเลิฟ

ความคิดเห็น