เรื่องนี้ส่งเข้ามาจากคุณแอมป์ ชุติพงษ์ ครับ คุณแอมป์เคยเขียนเรื่องนี้ไว้ที่เฟสบุ๊คของตัวเอง และที่กระทู้ Beetalk มาก่อน ซึ่งได้รับความนิยมสูง จนมีคนบอกให้คุณแอมป์ลองส่งเรื่องเข้ามาที่ TheHOUSE ดูบ้าง โดยเรื่องของคุณแอมป์มีอยู่ว่า.. เรื่องนี้เป็นประสบการณ์จริงที่ผมเคยเจอมาครับ สมัยที่ผมไปเรียนที่เชียงใหม่ ผมเรียนอยู่ไทยวิจิตรศิลป์ ช่วงปี 1 ทุกๆ วันผมกับเพื่อนๆ มักจะหากิจกรรมอะไรทำหลังเลิกเรียนเสมอ วันนั้นเราก็เลิกเรียนกันตามปกติ ประมาณบ่าย 3 ครึ่ง ผมก็เล่นบาสอยู่สักพัก เพื่อนผมคนหนึ่งชื่อ ไอ้แจ็ค ก็ชวนผมตามไปตีปิงปองต่อที่บ้านมัน ผมกับเพื่อนอีก 2 คนก็เลยขี่รถไปบ้านไอ้แจ็คกัน ไปกันทั้งหมด 4 คน มอเตอร์ไซค์ 3 คัน โดยผมกับไอ้แจ็คขี่กันคนละคัน ส่วน ไอ้แตง ซ้อนท้าย ไอ้กลม

ก่อนจะไปบ้านไอ้แจ็ค พวกผมก็ขี่รถไปแวะบ้านไอ้แตงกันก่อน เพราะเป็นทางผ่านพอดี ไอ้แตงเอาของเข้าไปเก็บในบ้าน แล้วก็ขออนุญาตพ่อมันไปบ้านไอ้แจ็ค ซึ่งพ่อมันก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่จู่ๆ พ่อมันก็ทักผมขึ้นมาว่า ‘ไอ้ชุ’ (เพื่อนสมัยเรียนส่วนใหญ่จะเรียกผมชื่อนี้ครับ มาจากชื่อจริง ชุติพงษ์) ‘เอ็งเป็นอะไรหรือเปล่า สีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนะ?’ ผมก็ทำหน้างงๆ พ่อไอ้แตงก็ทักต่อว่า ‘ช่วงนี้เอ็งดวงไม่ค่อยดี ทำอะไรก็ระวังๆ หน่อยล่ะ..’ คือพ่อของไอ้แตงเนี่ยเป็นเหมือนสัปปะเหร่อครับ มีหน้าที่ดูแลเรื่องงานศพของวัด และดูแลหลายๆ อย่างในวัด น่าจะเป็นคนมีของอยู่บ้าง แถมยังดูดวงแม่นมากอีกด้วย พอผมได้ยินที่พ่อไอ้แตงพูด ผมก็ได้แต่ตอบ ‘ครับ’ แล้วก็ขี่รถออกมาโดยไม่ได้สนใจอะไรมากนัก

จนมาถึงบ้านไอ้แจ็ค เป็นหมู่บ้านใหญ่มีชื่อเสียงในเชียงใหม่ อยู่แถวๆ หางดง แต่ทางไปบ้านมันบอกได้คำเดียวว่าเปลี่ยวมากๆ มีแต่ต้นหญ้าสูง ต้นไม้ใหญ่ขึ้นเต็มไปหมด ไฟทางก็ไม่มี มืดสนิท ทางบางช่วงก็ขาดเป็นหินลูกรัง ซึ่งผมก็สังเกตเห็นโรงงานเก่าอยู่ข้างทาง ดูๆ แล้วน่าจะเป็นโรงสีเก่าที่ถูกทิ้งร้างไว้ เห็นแล้วชวนขนหัวลุกมาก หมู่บ้านนี้จะแยกเป็น 2 ฝั่งซ้าย-ขวา มีสี่แยกอยู่ตรงกลาง พวกผมมาถึงบ้านไอ้แจ็คประมาณเกือบ 5 โมงเย็นได้ ก็เล่นปิงปอง เล่นโน่นนี่ตามประสา จนเวลาล่วงเลยมาเกือบ 4 ทุ่ม พวกผมก็เลยขอตัวกลับกัน ขากลับเรากลับกันมา 2 คัน ผมขี่คนเดียว กับอีกคันเหมือนเดิมคือไอ้กลมกับไอ้แตง ระหว่างที่ขี่รถกลับ พวกเราก็คุยเล่นกันไปตลอดทาง จนจะถึงช่วงสี่แยกของหมู่บ้าน ผมก็ให้เพื่อนผมขี่นำไปก่อน พอถึงสี่แยกผมก็มองดูซ้าย ดูขวา ข้างทางมันมืดสนิท แทบมองไม่เห็นอะไรเลย นอกจากไฟจากหมู่บ้านที่อยู่ห่างไปลิบๆ จังหวะที่ผมขี่ผ่านสี่แยกไปนั้น จู่ๆผมก็ได้กลิ่นแปลกๆ ครับ กลิ่นเหมือนหนูตายหรืออะไรเน่าๆ แต่ก็ยังไม่ได้คิดอะไร แล้วไม่นาน ผมก็รู้สึกเย็นวาบที่กลางแผ่นหลัง เหมือนใครเอาน้ำแข็งเย็นๆ มาลูบที่หลังยังงั้นเลย มันทำให้ผมขนลุกอย่างมาก แต่ที่น่าตกใจกว่านั้นคือ รถมอเตอร์ไซค์ผมยวบลง! เหมือนมีอะไรหนักๆ มาทับอยู่ ผมตกใจ และเผลออุทานออกมาเสียงดัง ‘เหี้ยยย!’ เพื่อนผม 2 คนที่ขี่รถนำหน้าไปก็หันมาถาม ‘เป็นไรวะมึง?’ ผมก็ตะโกนตอบกลับไปว่า ‘ไม่เป็นไร..’ พวกมันก็เลยขี่รถต่อไป แต่ในใจผมนี่บอกได้เลยว่า ‘เป็นสิวะ! ต้องเป็นอะไรแน่ๆ เพราะผมรู้สึกเหมือนกับว่ามีใครมาซ้อนท้ายผมอยู่!’ ผมพยายามกลั้นใจหันไปมอง แต่ก็ไม่เห็นมีอะไรนี่หว่า ผมรู้สึกโล่งอกมากที่ไม่เห็นอะไร ผมเลยเร่งเครื่องไปตีคู่เพื่อคุยกับเพื่อนๆ ต่อ

ระหว่างที่ผมคุยกับไอ้กลม ไอ้แตงที่นั่งซ้อนอยู่ก็หันมามองทางผม แล้วก็ทำท่าทางแปลกๆ เหมือนเห็นอะไรบางอย่าง ผมถามไอ้แตง ‘เฮ้ย มึงเป็นเหี้ยไร มีอะไร?’ มันก็เอาแต่หันหน้าหนีไม่ยอมตอบคำถามผม และสะกิดไอ้กลมให้รีบๆ ขี่แซงผมไปไวๆ ผมก็งงว่ามันเป็นอะไร? ผมขี่ตามพวกมันมาได้สักพัก ความมืดตลอดข้างทาง และความเย็นยะเยือกรอบตัว ทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ อีกครั้งครับ คือผมรู้สึกหนักที่หัวไหล่ขวา ผมหันมองหัวไหล่ตัวเอง เอามือลูบๆ บีบๆ มันก็ไม่มีอะไรนี่หว่า.. แต่จู่ๆ หูผมก็ได้ยินเสียงที่ทำให้ผมขนลุกสุดๆ ‘กึด..กึด..กึด’ เป็นเสียงเหมือนคนกัดฟันน่ะครับ แม่คุณเอ้ย! เล่าไปนี่ก็ขนลุกไป ผมผวามากๆ จะจอดรถก็ไม่กล้า มันเป็นเสียงที่สยองที่สุดเท่าที่ผมเคยได้ยินมาเลย ผมรีบเร่งเครื่องไปหาเพื่อนๆ ทันที แต่คราวนี้ ไอ้กลมที่เป็นคนขี่มันหันมามองผมแล้วทำหน้าตกใจสุดขีด! ก่อนจะรีบเร่งเครื่องทิ้งห่างหนีผมไป มันยิ่งทำให้ผมรู้สึกกลัวมากขึ้นกว่าเดิมอีกเป็นสิบเท่าเลยครับ พวกเราเร่งเครื่องกันจนมาถึงทางขาดที่เป็นโรงสีร้างที่ผ่านมาทีแรก บรรยากาศตอนนั้นมันอึมครึม วังเวงน่ากลัวมาก ผมเหลือบหันไปมองโรงสีร้างที่มืดสนิท มีเพียงเงาลางๆ ให้พอรู้โครงร่างของโรงสี แล้วตอนนั้นเอง หลังผมก็เย็นวูบเหมือนถูกน้ำแข็งมาลูบอีกครั้ง จนขนผมนี่ลุกซู่เลยครับ แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ รถผมมันเด้งยกขึ้น เหมือนอะไรหนักๆ ที่เคยทับอยู่มันหายไป.. รถที่เหมือนอืดๆ มาตลอดทาง จู่ๆ มันก็เร่งขึ้น ผมทั้งแปลกใจ และกลัวอย่างบอกไม่ถูกเลย..

พวกเราขี่จนมาถึงถนนใหญ่ เริ่มมีแสงไฟสว่าง ผมขี่ไปหาเพื่อนๆ ผมอีกครั้ง มัน 2 คนค่อยๆ หันมามองผม ค่อยๆ มองช้าๆ ..แล้วถอนหายใจ ‘เฮ้อ..’ ผมถาม ‘ตกลงมึงเป็นเหี้ยอะไรกัน?’ ไอ้แตงบอก ‘มึงไปบ้านกูก่อน เดี๋ยวกูค่อยเล่าให้ฟัง..’ ก็ขี่รถกันมาจนถึงบ้านไอ้แตง เราก็มายืนคุยกันตรงหน้าบ้าน ผมก็ถามมันว่า ‘ตกลงมึงเป็นอะไรกัน ทำไมตอนมองกูเมื่อกี้ต้องทำหน้าตกใจด้วยวะ แล้วมึงจะบิดหนีไปหาพ่องเหรอ?’ ไอ้แตงมันบอกผมว่า ‘ก็กูเห็นผู้ชายอายุราวๆ 60 ผมขาว ใส่เสื้อขาดๆ เปื้อนๆ ไม่รู้ว่าเปื้อนอะไร แต่คล้ายๆ รอยเลือด แม่งนั่งซ้อนท้ายมึงอยู่..’ ผมได้ฟังนี่ถึงกับเข่าอ่อนเลย เพราะมันชัดเจนมากเหมือนที่ผมรู้สึก ทั้งๆ ที่ผมยังไม่ได้เล่าอะไรให้พวกมันฟังเลย ผมก็เลยถามไอ้กลมบ้างว่า ‘มึงล่ะ เห็นด้วยหรือเปล่า?’ ไอ้กลมบอกว่า ‘ตอนแรกกูก็ไม่เห็นหรอก มาเห็นอีกมีหลังจากที่ไอ้แตงมันกระซิบบอกกูแล้ว กูนี่แทบช็อค ถึงบิดหนีมึงมาไง!’ จังหวะนั้นบอกเลยครับว่าทั้งกลัวทั้งอึ้ง ทำอะไรไม่ถูก แต่ในใจก็พยายามคิดว่าพวกมันตอแหลหรือเปล่า เลยบอกไปว่า ‘พวกมึงอำกูอะดิ?’ แต่ไอ้แตงมันมองหน้าผมพร้อมกับมีน้ำตาคลอ และบอกผมว่า ‘อำเหี้ยไร กูกลัวแทบตาย กูกลัวมันจะทำอะไรมึงด้วย..’

แล้วผมก็ถามพวกมันอีกด้วยความสงสัยในบางอย่าง ‘เออ..แล้วที่พวกมึงเห็นกัน เขานั่งเอามือจับไหล่กูอยู่หรือเปล่า?’ มันสองคนตอบมาพร้อมกันเลยว่า ‘เปล่า’ ผมก็เลยเล่าให้มันฟังว่าระหว่างทางผมรู้สึกอะไรยังไงบ้าง พอไอ้แตงฟังจบ มันก็พูดสวนขึ้นมาเลยว่า ‘ที่มึงรู้สึกหนักไหล่น่ะ เขาไม่ได้จับไหล่มึงหรอก แต่เขาเอาคางเกยไหล่มึงอยู่ต่างหาก!! มึงถึงได้ยินเสียงเขากัดฟันอยู่ข้างๆ หูมึงไง..’ โอ้ย ผมนึกภาพตามแล้วโคตรหลอนเลยครับ ถึงผมจะไม่ได้เห็นเองก็เถอะ ผมยืนอึ้งจนพูดอะไรไม่ออกเลย ..จนกระทั่งพ่อไอ้แตงออกมาแล้วบอกผมว่า ‘มีคนเขาฝากมาบอกขอบใจเอ็งน่ะ’ ผมกับเพื่อนก็งงกันไปใหญ่ ผมเลยถามไปว่า ‘ใครครับพ่อ?’ แกก็บอกว่า ‘ก็คนที่ซ้อนท้ายเอ็งมาเมื่อกี้ไงล่ะ..’ แล้วพ่อไอ้แตงก็เล่าอะไรให้พวกเราฟังว่า ‘เมื่อนานมาแล้ว ลุงคนนั้นแกโดนโจรดักปล้น และถูกฆ่าปาดคอชิงสร้อยทองไป ระหว่างทางก่อนที่จะไปทำงานที่โรงสีนั่น.. จากนั้นมา แกก็พยายามจะกลับไปโรงสีนั้น แต่ก็ไปไม่ได้เสียที ไปยืนขวางรถบ้าง ไปโบกรถคนอื่นบ้าง จนทำให้เกิดอุบัติเหตุกันมากมาย จนมาถึงคืนนี้ที่ไปกับเอ็งจนได้นี่ล่ะ..’ ผมคิดในใจ ‘คือกูโชคดีใช่ไหม? กูควรดีใจใช่ไหม?’ พ่อไอ้แตงยังบอกผมอีกว่า ช่วงนี้ผมดวงตก แต่ยังดีที่ได้พาลุงคนนั้นไปส่ง ไม่งั้นอาจจะมีเคราะห์แรงกว่านี้ก็เป็นได้..

หลังจากนั้นพ่อไอ้แตงก็สวดมนต์เป่ากระหม่อมให้ผม บอกพรุ่งนี้ให้ผมไปใส่บาตรด้วย ไม่ต้องกลัวอะไร เขาไม่ได้ตามมา.. และนี่คือเรื่องแรกที่ผมอยากเล่าครับ ถึงผมจะเคยเจอผีมาบ้าง แต่ก็ยังไม่เคยรู้สึกกลัวเท่าครั้งนี้ ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้เห็นกับตา แต่เสียงกัดฟันข้างๆ หูผมมันหลอนผมไปพักใหญ่เลยทีเดียว.. แต่สิ่งที่น่าขนลุกยังไม่หมดครับ วันรุ่งขึ้นตอนบ่ายๆ หลังจากผมไปทำบุญเสร็จ ผมจำเป็นต้องไปบ้านไอ้แจ็คอีกครั้ง พอขี่มาถึงตรงทางขาดที่เป็นลูกรังตรงโรงสีร้างนั่น พอผมมองไป ผมกลับไม่เห็นโรงสีร้างนั้นแล้ว!? ผมถามไอ้แจ็คว่า ‘โรงสีร้างนั่นไปไหนแล้ววะ?’ ไอ้แจ็คมันตอบผมด้วยสีหน้าแปลกใจว่า ‘โรงสีร้างอะไรมึง มันไม่มีมาหลายปีแล้ว..’ เท่านั้นล่ะ ผมนี่เงิบเลยครับ

Story by คุณแอมป์ ชุติพงษ์

ความคิดเห็น