เรื่องนี้ส่งเข้ามาจากคุณปันครับ คุณปันเล่าว่า.. เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นสมัยที่ผมเรียน รด. ปี 3 เป็นช่วงประมาณต้นปี 2548 ครับ ซึ่งก่อนจะเรียนจบ ก็ต้องมีการไปเข้าค่ายที่เขาชนไก่ แน่นอนครับว่าที่แห่งนี้ย่อมมีเรื่องเล่าขานต่างๆ มากมายไม่แพ้ที่อื่น.. พวกผมเดินทางไปเขาชนไก่ตามกำหนด โดยได้อยู่กองพันที่ 33 และผมก็ถูกเลือกให้เป็นหัวหน้ากองพันอีกด้วย เหตุการณ์ทุกอย่างก็ดูปกติไม่มีอะไร ฝึกหนัก ร้อน เหนื่อย ง่วง ตามประสา จนเข้าสู่ช่วงกลางๆ สัปดาห์ครับ

วันนั้นช่วงเช้าเป็นการฝึกเข้าตี ซึ่งร้อน และเหนื่อยมากๆ ส่วนตอนบ่ายจะเป็นการเดินทางไกลขึ้นเขาไปไหว้พระ เรื่องมันมาเกิดขึ้นตอนทานข้าวกลางวันเสร็จนี่ล่ะครับ อยู่ๆ ก็มีเพื่อนคนหนึ่งได้หายตัวไป คือหายไปแบบไม่มีใครทันสังเกตเลย จนทุกคนไปรวมตัวตั้งแถวเตรียมขึ้นเขาไปไหว้พระ ตามกำหนดการของครูฝึก ตอนขึ้นเขาจะปล่อยขึ้นไปเป็นแถวตอนเรียงหนึ่ง ส่วนผมก็ต้องคอยดูแลเรื่องการปล่อยแถว แล้วระหว่างที่กำลังปล่อยแถวอยู่ ก็เห็นไอ้เพื่อนคนที่หายไปเดินกลับเข้ามา ดูสีหน้าตื่นๆ ผมก็เดินเข้าไปถามตามประสาเพื่อนกันว่า ‘มึงไปไหนมาวะ หมวดของมึงนี่เดินขึ้นไปกันนานแล้วนะ..’ แต่มันกลับตอบมาว่า ‘กูหายไปนี่ พวกมึงไม่ทันสังเกตกันเลยเหรอ?’ ผมก็เลยถามมันต่อว่า ‘ตกลงคือยังไง ไปไหนมา?’ มันก็เล่าให้ฟังว่า..

‘ตอนที่กินข้าวกลางวันเสร็จ กูรู้สึกไม่ค่อยดี คลื่นไส้ อาจจะเพราะเพลีย หรือกินมากเกินไปไม่รู้ กูเลยไปอ้วกที่ห้องน้ำกองพัน พอออกมาจากห้องน้ำ ก็เห็นครูฝึกคนหนึ่งใส่ชุดพราง สวมหมวกปีกแบบมีผ้าคลุมทั้งหน้า กำลังโบกมือเรียก กูก็ตามครูฝึกคนนั้นไปทันที โดยไม่ได้คิดจะถามหรือบอกใครอะไรทั้งนั้น..’ ขออธิบายลักษณะเส้นทางในเขาชนไก่หน่อยนะครับ เพื่อให้เห็นภาพ คือคนที่เคยไปจะทราบดีว่าถนนหนทางในค่ายนั้นเป็นเนินลูกคลื่น เพราะอยู่บนเขา เวลาอยู่บนยอดเนินหนึ่ง ก็จะมองไปเห็นอีกยอดเนินหนึ่ง เพื่อนมันเล่าต่อว่า.. ‘กูก็เดินไปหาครูฝึกคนนั้น พอเดินไปจะถึงตรงที่เห็นครูฝึกยืนอยู่ ครูฝึกแกกลับไปยืนอยู่บนถนน และเดินนำไป กูก็รีบวิ่งตาม จนไปถึงบริเวณที่เป็นเนินลูกคลื่น กูเห็นครูคนนั้นยืนอยู่บนยอดเนิน และกำลังโบกมือเรียก กูก็รีบวิ่งตามขึ้นไปบนยอดเนินนั้น แต่พอถึงยอด กูกลับเห็นครูฝึกคนนั้นไปยืนอยู่ที่ยอดเนินอีกลูกหนึ่งแล้ว และทำท่าโบกมือเรียกกูอย่างเดิม ซึ่งความเป็นจริงไม่มีทางที่คนปกติจะเดิน หรือวิ่งไปได้เร็วขนาดนั้น แต่กูก็ไม่รู้ยังไง กลับวิ่งตามครูฝึกคนนั้นไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้คิดสงสัยอะไรเลย จากยอดหนึ่งไปอีกยอดหนึ่งหลายครั้งมาก จนไปถึง 3 แยกที่มีศาลแม่ตะเคียนอยู่ และมีทางเล็กๆ สำหรับลงไปบริเวณริมลำธาร ซึ่งพอถึงตรงนี้ ครูฝึกคนนั้นก็หายตัวไปต่อหน้าต่อตากูเลย แต่ด้วยความเบลอ หรืองงอะไรก็ไม่รู้ กูก็ยังจะวิ่งลงไปตามทางเล็กๆ ที่จะไปริมลำธารต่ออีก ตอนนั้นคือตั้งหน้าตั้งตาจะลงไปให้ได้ แต่เคราะห์ยังดีที่มีรถฮัมวี่พยาบาลผ่านมา จ่าในรถก็บีบแตร และตะโกนถามว่ากูเสียงดังว่า เดินตาลอยเลย จะลงไปไหนล่ะ? กูถึงได้สติตอนนั้นเอง ทีนี้พอได้สติกูนี่เหวอแดกเลย เพราะไม่รู้ว่าตัวว่ามาทำอะไรตรงนี้ แถมด้านหน้ากูก็เป็นทางลาดชัน คือตกไปนี่อาจจะไม่รอด จ่าเลยจอดรับกูขึ้นรถ และพากลับมาส่งกองพันนี่ล่ะ..’ นี่คือทั้งหมดที่เพื่อนมันเล่าให้ผมฟัง..

ด้วยความที่ผมเป็นหัวหน้ากองพัน จึงค่อนข้างสนิทสนมกับพวกครูฝึกหลายๆ คน ผมก็พาเพื่อนไปหาครูฝึกคนหนึ่ง และผมก็เล่าให้ครูฝึกฟัง แต่ตอนที่เล่าเนี่ย ผมไม่ได้บอกลักษณะการแต่งกายของครูฝึกที่เพื่อนผมเจอนะ แต่พอครูฝึกฟัง ก็ถามเพื่อนผมกลับทันทีว่า ครูฝึกคนที่เอ็งเห็นน่ะ รูปร่างประมาณนี้ๆ แต่งกายชุดพราง ใส่หมวกปีกมีแบบมีผ้าปิดหน้าใช่ไหม? พูดง่ายๆ คือบอกรูปพรรณสัณฐานได้ตรงเป๊ะทุกอย่าง โดยที่ผมกับเพื่อนยังไม่ทันได้อธิบายเลย.. จากนั้นครูฝึกก็เล่าให้พวกผมฟังว่า ‘ครูฝึกคนที่เอ็งเจอ และเดินตามเขาไปน่ะ เขามีปัญหาส่วนตัวหรือยังไงนี่แหละ เขาไปฆ่าตัวตายด้วยการแขวนคอ ตรงทางลงไปริมลำธารใกล้ๆ แยกศาลแม่ตะเคียนนั่นแหละ..’ ผมกับเพื่อนนี่ขนลุกเลย แถมครูฝึกยังได้ทิ้งท้ายกับผมด้วยว่า ‘เพื่อนเอ็งโชคดีนะ คงได้แม่ตะเคียนช่วยไว้ ไม่งั้นคงไปแล้ว..’

Story by คุณปัน
Photo by Sloth Studio

ความคิดเห็น