เรื่องนี้ส่งเข้ามาจากคุณบาสครับ คุณบาสเล่าว่า.. เมื่อปลายปีที่แล้ว ผมได้มีโอกาสไปทำงานเป็นผู้ช่วยพ่อครัวที่ร้านอาหารใหญ่แห่งหนึ่งในพัทยาครับ ก็ไปสมัครงาน และหาบ้านเช่าเอาไว้เรียบร้อย ถือว่าเป็นการย้ายงานที่ดีมากสำหรับผม ทั้งค่าจ้าง และเพื่อนร่วมงาน ลักษณะที่ร้านนี้จะเป็นตึก 5 ชั้น ชั้น 1-2 จะเป็นห้องแอร์ทั่วไป ชั้น 3 จะเป็นห้อง VIP ส่วนชั้น 4 เป็นชั้นสำหรับเก็บของ และชั้น 5 จะเป็นห้องพักของคนขับรถของเจ้าของร้าน สมัยก่อนตึกนี้จะเดินทะลุถึงกันกับโรงแรมแห่งหนึ่ง แต่ตอนนี้ปิดไปแล้ว การขึ้น-ลงแต่ละชั้น จะใช้เพียงลิฟท์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพราะบันไดจะอยู่ฝั่งโรงแรมที่ปิดไปแล้วครับ

ผมทำงานอยู่ที่นี่ราวๆ 2 เดือน เวลาเลิกงาน ก็มักจะจับกลุ่มกินเหล้ากันที่บ้านเช่าของพนักงานครับ ด้วยความที่ผมเป็นเด็กใหม่ เวลาอยากรู้อะไรเกี่ยวกับร้าน ผมก็จะถามพวกพี่ๆ ที่นั่งกินเหล้าด้วยกัน ก็ถามนั่นนี่ไปเรื่อยเปื่อย จนถึงคำถามหนึ่ง ผมถามว่า ‘เออพี่! ที่ร้านเราผมก็เคยไปมาทั่วแล้ว แต่ยังไม่เคยไปชั้น 3 เลย..’ สิ้นคำถามของผม ทุกคนที่กินเหล้าเฮฮากันอยู่ก็เงียบไปเฉยๆ.. จนมีพี่คนหนึ่งพูดขึ้นว่า ‘ชั้น 3 มันเป็นห้อง VIP น่ะ เอาไว้ให้แขกช่วงไฮซีซั่นตอนชั้น 1-2 เต็ม หรือบางทีก็ไว้ให้กรุ๊ปทัวร์ แต่ว่าช่วงนี้ไม่ต้องถึงชั้น 3 หรอก ชั้น 2 ก็ยังไม่เคยมีแขกมาเต็มเลย..’ แล้วทุกคนในวงเหล้าก็ขำ และเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นทันที ผมเองก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ..

จนวันต่อมา ตอนนั้นประมาณตี 1 ครึ่ง เป็นเวลาที่ทุกคนคนในร้านเก็บงาน แล้วจะมานั่งรวมกันที่กลางร้าน ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ผมแอบกดลิฟท์ขึ้นไปชั้น 3 คนเดียวเลยครับ.. พอลิฟท์เปิดที่ชั้น 3 คือมันมืดมากๆ มีแค่แสงไฟจากในลิฟท์ ที่สว่างออกมาพอจะเห็นสวิทช์ไฟ ผมก็เดินไปเปิดไฟทางเดิน แล้วก็เห็นว่าที่ชั้นนี้จะถูกกั้นเป็นห้องๆ มีทั้งหมด 5 ห้อง ประตูเป็นกระจกบานเลื่อน แต่ละห้องจะมีสวิทช์ไฟอยู่ภายใน ผมก็เดินไปจะเปิดห้องแรก แต่พอเลื่อนดูปรากฏว่ามันล็อคอยู่ เลยตัดสินใจเดินไปเปิดห้องต่อไปเรื่อยๆ ดู จนไปถึงห้องสุดท้าย ในแต่ละห้องจะมีโต๊ะจีนขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางห้อง และมีเก้าอี้จัดเป็นระเบียบอยู่รอบโต๊ะ

สักพักขณะที่ผมยืนดูห้องสุดท้ายอยู่ ก็ได้ยินเสียงเหมือนคนเลื่อนโต๊ะ และทำแก้วตกแตกจากห้องข้างๆ ตอนนั้นใจผมเริ่มไม่ดีละ เพราะว่าผมเปิดดูแต่ละห้องมาแล้ว มันไม่มีใครอยู่แน่นอน! ผมตัดสินใจเดินกลับไปที่ลิฟท์ครับ พอเดินพ้นห้องที่ 3 มาก็ได้ยินเสียงเลื่อนประตูเปิด และปิด ดังมาจากข้างหลัง ไม่แน่ใจว่าจากห้องที่ 4 หรือห้องสุดท้ายกันแน่ แต่ที่แน่ๆ ผมไม่คิดจะหันกลับไปมอง พยายามรีบไปที่ลิฟท์ให้เร็วที่สุด.. แล้วผมก็นึกขึ้นได้ว่าผมลืมล็อคลิฟท์ให้เปิดค้างไว้ พอดูเวลาตอนนั้นตีเกือบจะตี 2 แล้ว ผมกดเรียกลิฟท์ แต่ปรากฏว่าลิฟท์มันไม่ขึ้นไฟอะไรเลย นั่นหมายความว่า ป้าที่ดูแลตึกแกคงจะกดลิฟท์ลง และปิดลิฟท์ไปแล้ว.. พอจะกดโทรศัพท์โทรหาพี่ๆ แต่ก็ดันไม่ได้เอาโทรศัพท์ขึ้นมาอีก ตอนนั้นผมคิดอะไรไม่ออกเลยครับ กลัวจนน้ำตามันเริ่มไหล คิดว่าคงจะต้องติดอยู่บนนี้ไปจนเช้าแน่ๆ

ระหว่างนั้นผมนึกขึ้นได้ว่า ที่ร้านมันจะมีลิฟท์ที่เอาไว้ส่งอาหาร เป็นลิฟท์ช่องเล็กๆ ที่เวลามันถึงชั้นล่างจะมีเสียง ‘กริ๊ง’ และที่สำคัญคือ ลิฟท์ส่งอาหารนี้มันไม่เคยปิดการใช้งาน ผมเลยหากระดาษเพื่อที่จะเขียนข้อความส่งลงไปที่ชั้นล่าง แต่ประเด็นคือ.. ลิฟท์ส่งอาหารมันอยู่สุดทางเดิน ซึ่งหมายความว่า ผมต้องเดินกลับไปที่หน้าห้อง VIP ห้องสุดท้าย! คิดดูว่าขนาดหันไปมองผมยังไม่กล้าเลย.. แต่ก็คิดในใจว่า ‘เอาเถอะวะ แค่ผีหลอก..’ ผมตัดสินใจเดินกลับไปทางเดิม เพื่อจะไปยังลิฟท์ส่งอาหาร แล้วเชื่อไหมครับ ว่าระหว่างที่เดินไปนั้น ผมได้ยินเสียง ‘กึกกักๆ’ จากห้องที่ 4 ตลอด! เสียงเหมือนคนเดินกระทืบเท้าจากด้านใน ตอนนั้นนี่คือน้ำตาแตกเลยครับ แต่ถ้าไม่มา ก็คงจะต้องอยู่กับมันไปจนถึงเช้าแน่ๆ ..พอถึงลิฟท์ส่งอาหาร ผมเอากระดาษใส่ลงไป และกดชั้น 1 แล้วผมก็นั่งลงร้องไห้ตรงนั้นเลยครับ ไม่มีแรงเดินกลับไปแล้ว ผมเขียนในกระดาษว่า ‘ช่วยด้วย! ผีหลอกอยู่ชั้น 3 ขึ้นมารับหน่อย’

ระหว่างที่รอ เสียงเลื่อนประตูก็ดังขึ้นๆ เป็นเสียงจากห้องที่ 4 แน่นอน และที่มาเพิ่มคือเสียงเดินครับ เสียงดังเหมือนกับว่ามีอะไรกำลังเดินเข้ามาทางผม.. และแล้วเสียงลิฟท์ก็ดังขึ้นครับ พี่ที่ทำงาน และป้าที่ดูแลตึกรีบมาช่วยกันพยุงผมขึ้น และพาลงไปชั้นล่างอย่างไว.. พอถึงชั้นล่าง พี่ที่ทำงานก็ถามว่า ‘มึงขึ้นไปทำอะไรข้างบนวะ? ขนาดกูอยู่มาตั้งนาน กูยังไม่กล้าขึ้นไปเลย..’ คือพนักงานประมาณ 10 คนยืนล้อมผม พยายามถามนั่นนี่ แต่คือผมพูดอะไรไม่ออกเลยครับ แล้วหลังจากวันนั้น ผมก็ทำงานต่ออีกอาทิตย์เพื่อจะเอาเงินเดือน แล้วผมก็ลาออกกลับบ้านเลย ถึงจะไม่ได้เห็นอะไร แต่มันน่ากลัวมากจริงๆ ครับ

Story by คุณบาส

ความคิดเห็น